"เฉลิมเกียรติ" สั่งท้องที่รวบรวมหลักฐานเหตุเรือล่ม ก่อนดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง

พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าในการลงไปตรวจสอบการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องและทำให้เรือท่องเที่ยว 2 ลำล่มในจังหวัดภูเก็ต จนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า50 คนนั้น จากการลงพื้นที่ตรวจสอบว่า ทางพนักงานสอบสวน ได้เรียกเจ้าของเรือทั้งสองลำมาสอบปากคำ และมีความคืบหน้าในระดับหนึ่งแล้ว และระหว่างนี้กำลังเตรียมเรียกพยานที่อยู่ในที่เกิดเหตุ และพยานแวดล้อมมาทำการสอบสวนเพิ่มเติม

แต่เนื่องจาก การกู้ชีพยังไม่เรียบร้อย ทำให้ต้องรอกระบวนการสอบสวนอีกระยะหนึ่ง ซึ่งตำรวจจะทำการสอบสวนในประเด็นต่างๆอย่างรอบด้าน ทั้งเรื่องประเด็นความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากการนำเรือออก โดยการตัดสินใจของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นผู้ควบคุมเรือ หรือเป็นเจ้าของกิจการเดินเรือทั้ง 2 บริษัท หากพบบุคคลที่ทำความผิดเข้าข่ายแน่นอน และมีพยานหลักฐานยืนยันก็จะดำเนินการเรียกตัวมาแจ้งข้อกล่าวหา

ซึ่งจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า มีกลุ่มบุคคลที่อาจถูกแจ้งข้อกล่าวหาแล้วมากกว่า 2 คนขึ้นไป แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้ว่าจะเป็นบุคคลใดบ้าง เนื่องจากอยู่ในสำนวนการสอบสวน

ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่า ในช่วงแรกนั้นผู้ควบคุมเรือทั้ง 2 บริษัท และส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ได้ต้องการนำเรือออกในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าจะไปเจอมรสุม แต่นักท่องเที่ยวชาวจีนกลุ่มหนึ่งกดดันลูกเรือจนจำเป็นต้องออกเดินเรือ และไปประสบเหตุดังกล่าว ในประเด็นนี้ได้แจ้งข้อมูลเพิ่มเติมให้พนักงานสอบสวนในคดีดังกล่าวสอบสวนเพิ่มเติมหากพบว่ามีข้อเท็จจริงตรงกับพยานหลักฐาน ก็จะดำเนินการกับนักท่องเที่ยวกลุ่มที่กดดันจนทำให้ต้องออกเดินเรือในช่วงเวลาดังกล่าว

ด้านพล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว กล่าวว่าวจากการที่ ผู้ช่วยเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนลงไปดูการทำงานของเจ้าหน้าที่เมื่อวานนี้ ผู้ช่วยทูตมีความพึงพอใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานต่างๆในการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย และการกู้ศพขึ้นจากเรือ อีกทั้งยังร้องขอให้ช่วยเหลือดูแลนักท่องเที่ยว ซึ่งเป็นชาวจีนในเรื่องคดีและการติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ของสถานทูต เพื่อติดต่อญาติที่อยู่ในประเทศบ้านเกิดด้วย

และจากการตรวจสอบข้อมูลของตำรวจท่องเที่ยวพบว่า เรือที่ประสบเหตุทั้งสองลำเป็นเรือที่ไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากในข้อมูลเบื้องต้นพบว่า น้ำเริ่มเข้าจากด้านท้ายของเรือ ซึ่งหากเป็นเรือที่มีมาตรฐานถูกต้อง จะต้องมีระบบที่ใช้ในการระบายหรือขับน้ำออกจากเรือ ทั้งนี้ทราบข้อมูลจากกรมเจ้าท่าว่า จะถอนทะเบียนเรือและคนขับเรือทั้งสองลำ รวมทั้งจะสอบสวนถึงสาเหตุของการเกิดเรือล่มดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งในการลงโทษ และเป็นข้อมูลให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องด้วย

อีกทั้งยังพบว่า บริษัทเจ้าของเรือทั้งสองบริษัท มีลักษณะเข้าข่ายการเป็นนอมินีโดยมีชาวต่างชาติว่าจ้างให้คนไทยเป็นผู้จัดการ หรือเป็นเจ้าของบริษัทเรือดังกล่าวแทน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เจ้าของคนไทยมีรายได้ไม่มาก แต่กลับกลายเป็นเจ้าของธุรกิจพันล้านในเวลาเพียงไม่กี่เดือน

นอกจากนี้ยังพบว่าสาเหตุที่เรือดังกล่าวฝ่าฝืนออกเดินเรือในช่วงเวลาที่กำลังจะมีพายุมรสุม ทั้งที่เรือของบริษัทอื่นๆไม่ออกจากท่า เนื่องจากมีการสั่งการจากบุคคลรายหนึ่งในบริษัทให้ออกเดินเรือ ทั้งที่มีการทัดทานจากผู้ควบคุมเรือและส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของบริษัทแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลจากพยานบุคคลและหาหลักฐาน เพื่อใช้ดำเนินคดีกับบุคคลดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวตรวจสอบประวัติของบริษัทเดินเรือทั้งสองรลำที่ประสบเหตุพบว่ามีความเกี่ยวข้องกับบริษัททรานลี่ ทราเวล จำกัด ซึ่งเมื่อช่วงปี 2559 เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวและปปง.ได้เข้าตรวจค้นและยึดทรัพย์บริษัทในเครือทรานลี่ เป็นรถบัส 69 คัน จาก 117 คัน เรือสปีดโบ๊ต 32 ลำจาก 35 ลำ มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อความเชื่อมโยงและดำเนินการกับบริษัททั้ง 2 แห่ง