สอบเครียดเสือโหยกว่า 3 ชั่วโมง เบื้องต้นผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เตรียมฝากขังศาลจ.สุราษฎร์ธานี พร้อมค้านประกันตัว ชาวบ้านโล่งอกมุงดูหน้าอำเภอจำนวนมาก ด้านน้องสาวผู้ต้องหาวอนสังคมโซเซียลหยุดโจมตี มีผลกระทบต่อตระกูล
วันที่ 29 ม.ค. 2563 จากกรณีนายชาญวิทย์ สิรภักดี นายอำเภอคีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี มีหนังสือด่วนที่สุดถึงกำนันผู้ใหญ่บ้านทุกตำบลทุกหมู่บ้าน ให้เฝ้าระวัง นายอนุสรณ์ สมบุญ ฉายา“เสือโหย” อายุ 33 ปี ชาว อ.คีรีรัฐนิคม ผู้ต้องหาตามหมายจับ หลังตระเวนก่อเหตุลักทรัพย์ และล่วงละเมิดหญิงสาวหลายราย ไม่เว้นแม้กระทั่งญาติตัวเอง
โดยทางเจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองกำกับการสืบสวนภาค 8 กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 416 และ ตชด.41 พร้อมสุนัขดมกลิ่น กองปราบปราม ตำรวจ สภ.คีรีรัฐนิคม กำลังฝ่ายปกครอง ชุดเฉพาะกิจอำเภอ (อส.) พร้อมผู้นำชุมชน กว่า 50 นาย เข้าปิดล้อมพื้นที่บริเวณเทือกเขาราหู หมู่ที่ 10 ตำบลย่านยาว อ.คีรีรัฐนิคมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันเสาร์ที่ผ่านมา (25 ม.ค.) หลังจากสืบทราบว่าผู้ต้องยังกบดานอยู่ในป่าบนเทือกเขาราหู
จนกระทั่งเมื่อช่วงเย็น (เวลาประมาณ 18.00 น.) วันที่ 28 ม.ค. 63 ชุดเฉพาะกิจฝ่ายปกครองอำเภอคีรีรัฐนิคม สามารถควบคุมตัว นายอนุสรณ์ สมบุญ หรือเสือโหย ขณะกำลังนอนหลับในเปลที่ผูกอยู่กลางป่าบนเขาแดงราม ที่เป็นรอยต่อกับเขาราหู หมู่ 10 ต.ย่านยาว อ.คีรีรัฐนิคม โดยเจ้าหน้าที่ได้ตีวงบีบกระชับพื้นที่ ก่อนบุกจู่โจมเข้าจับกุม
ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงนำตัวนายอนุสรณ์ หรือ เสือโหย ไปสอบปากคำ ณ ที่ว่าการอำเภอคีรีรัฐนิคม เจ้าหน้าที่สอบสวนอย่างเคร่งเครียด ประมาณ 3 ชั่วโมง เบื้องต้นผู้ต้องหาปฎิเสธทุกข้อกล่าวหา จากนั้นนำตัวส่งเข้าห้องขัง สภ.คีรีรัฐนิคม โดยมีแม่และน้องๆของเสือโหยมาเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด
ด้านชาวบ้านในพื้นที่ หลังทราบข่าวว่า เสือโหยถูกจับกุมต่างเดินทางไปยังบริเวณที่ว่าการอำเภอกันจำนวนมาก โดยหญิงวัย 62 ปี รายหนึ่ง บอกว่า รู้สึกสบายใจขึ้นมาก หลังทราบว่าเจ้าหน้าที่จับกุมเสือโหยได้ เพราะก่อนหน้านี้ ตนมีความวิตกกังวลและหวาดกลัวช่วงเวลากลางคืน ส่วนลูกหลานก็ไม่กล้าไปกรีดยาง ถึงแม้จะไม่รู้จักตัวแต่ข่าวเล่าลือกันมากจนเกิดความหวาดกลัว
ด้านน้องสาวเสือโหย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ไม่แปลกที่คนเราทำความผิด แต่ขอให้ทุกคนดูสิ่งที่เป็นความเป็นจริงและขอความเป็นธรรมจากโลกโซเซียลให้พี่ด้วย บางคนพิมพ์ข้อความโดยไม่รู้ความจริง ไม่ใช่เห็นว่าประวัติไม่ดีก็ซ้ำเติม แม้กระทั่งตนเองมีหน้าที่การงานรับราชการ ก็ถูกโจมตีว่า ส่งข้าวส่งน้ำให้พี่ชาย ซึ่งความจริงตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตนขอฝากวอนถึงสังคมว่า ให้มองเจาะไปลึกๆ ไม่ใช่ตามกระแส
โดยเฉพาะโลกโซเซียล ซึ่งคดีของพี่ชายไม่ใช่ร้ายแรงอะไรมากมาย ที่ร้ายแรงก็เพราะทุกคนปล่อยข่าวออกไป และส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงวงศ์ตระกูลอย่างมาก จึงขอความเห็นใจด้วย
สำหรับฉายา ”เสือโหย” ชาวบ้านคนเก่าคนแก่เล่าให้ฟังว่า มาจากสมัยตอนที่เสือโหยเด็กๆ ไปทำสวนทำไร่กับแม่แล้วไปขโมยข้าวห่อของเพื่อนบ้านกินด้วยความหิวโหย ก่อคดีลักทรัพย์เล็กๆน้อยมาเรื่อยๆมาจนถูกจับและส่งตัวเข้าสถานพินิจ ฯ เมื่อออกจากสถานพินิจฯ กลับมาอยู่บ้าน ก็ก่อคดีลักทรัพย์อีกจนสู่วัยหนุ่ม ได้เด็กสาวชาวอีสานอายุไม่ถึง 15 ปี เป็นภรรยาแต่พ่อแม่เด็กไม่ยอม จึงแจ้งข้อหาพรากผู้เยาว์ และพาครอบครัวกลับอีสาน ”เสือโหย” จึงติดคุก ทั้งที่ทั้งคู่รักกันมาก ด้วยความที่ชอบเด็ก หลังออกจากคุกจึงมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป มักจะก่อเหตุพยายามข่มขืนผู้หญิง
โดยในวันนี้ทางพนักงานสอบสวน สภ.คีรีรัฐนิคม จะสอบปากคำเสือโหยอย่างละเอียด ก่อนนำตัวฝากขังศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีและคัดค้านการประกันตัว