"อนุทิน" ลั่น สธ.ไม่ปิดข่าวยอดผู้ติดเชื้อ วอนประชาชนมั่นใจ หาต้นตอได้หมด

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุข มุ่งมั่นตั้งใจและพร้อมรับมือโควิด-19 ผ่านไป 2 เดือนครึ่ง ยังสามารถหาผู้ที่ติดเชื้อครบเกือบทุกราย และมีการปรับตัวตามสถานการณ์ได้เรื่อยๆ แม้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นแต่ละวัน ยังสามารถหาต้นตอได้หมด ขณะเดียวกันผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วกลับบ้านได้ก็มีจำนวนไม่น้อย

ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุข ปิดข่าวยอดผู้ติดเชื้อที่แท้จริงนั้น ขอย้ำว่าไม่มี ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องทำแบบนั้น ข้อมูลที่กระทรวงสาธารณสุขมี ก็เหมือนกับที่ประชาชนมี ขอให้ประชาชนมั่นใจการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข ที่มีประสิทธิภาพมีการวางแผนในระยะต่างๆไว้ให้ประชาชนปลอดภัย หากประชาชนให้ความร่วมมือ กินอาหารร้อน ช้อนกลางส่วนตัว หรือใช้วิธีการกินอาหารจานใครจานมัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด

สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคดังนี้

- มาตรการชาวต่างชาติ เดินทางมาประเทศไทย โดยเฉพาะประเทศเสี่ยงจาก 4 ประเทศ จะต้องมีใบรับรองแพทย์ในช่วง 3 วันก่อนเดินทาง มีประกันสุขภาพ 100,000 ดอลลาร์ ต้องยินยอมให้ไทยใช้แอพพลิเคชั่น ติดตามตัว และต้องแสดงวัตถุประสงค์ที่มาไทยช่วงนี้ ด้วยและจะต้องยินยอมให้ถูกกักตัวไว้เป็นเวลา 14 วันเมื่อเข้าประเทศไทย

- ชาวต่างชาติที่มาจากมาประเทศอื่น ที่ไม่ใช่4ประเทศเสี่ยง แต่เป็นพื้นที่ระบาดต่อเนื่องก็จะใช้มาตรการเดียวกัน

- ที่ประชุมยังให้ข้าราชการ พนักงานของรัฐ งดการเดินทางไปต่างประเทศทั้งหมด ยกเว้นมีเหตุจำเป็นจริงง เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยติดโรค

- ส่วนวันหยุดสงกรานต์ ต้องป้องกันการนำพาเชื้อไวรัสไปแพร่กระจาย จึงงดการเดินทางในช่วงนี้ ทำให้ ครม. มีมติ ไม่ให้วันสงกรานต์ 13-15 เมษายน เป็นวันหยุด ต้องทำงานตามปกติ และจะหาวันชดเชย ให้เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม หรือทันทีที่ไทยเริ่มปลอดภัย

- กำหนดให้ปิดสถานบันเทิง สถานบริการในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลทั้งหมด ในวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป และให้สถานบริการทำบิ๊กคลีนนิ่งให้สะอาด โดยกระทรวงจะส่งเจ้าหน้าที่ตรวจตรา เมื่อครบ 14 วัน จะพิจารณาว่าจะอนุญาตให้เปิดได้หรือไม่

- ปิดสถานศึกษาทั้งหมดทั่วประเทศให้ปิดเป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ และให้งดกิจกรรมที่มีการรวมตัวทั้งหมด

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบมาตรการ ส่งเสริมให้หน่วยงานภาครัฐเอกชนใช้วิธีการการประชุมทางไกล รวมถึงการทำงานอยู่บ้าน และให้มีมาตรการกำหนดเวลา เข้าออกงาน หรือพักกลางวันเหลื่อมเวลากัน เพื่อไม่ให้เกิดความแออัด และให้ทุกร้านอาหาร ห้างร้านต่างๆ ต้องมีเจลล้างมือ มีการทำความสะอาดตลอดเวลา