svasdssvasds

ทัพเรือภาค 3 นำสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์เตรียมการรื้อถอนบ้านกลางทะเล

ทัพเรือภาค 3 นำสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์เตรียมการรื้อถอนบ้านกลางทะเล

ทัพเรือภาค 3 นำสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์การเตรียมการรื้อถอนบ้านกลางทะเล ซึ่งตรวจสอบมีสภาพไม่แข็งแรง แต่ยังไม่สามารถดำเนินการรื้อถอนหรือเคลื่อนย้ายได้ เหตุต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ความคืบหน้าการดำเนินคดีกับชายชาวต่างชาติ คือ นายเชด เอลวาร์โทวสกี้ กับภรรยาคนไทย คือ นางสาวสุปราณี หรือ นาเดีย เทพเดช ก่อสร้างบ้านกลางทะเล บริเวณพิกัด ละติจูด 7 องศา 29.37ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 34.81 ลิปดาตะวันออก หรือบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะราชาใหญ่ ห่างจากเกาะภูเก็ตไปประมาณ 14 ไมล์ทะเล ตามแนวทางของกลุ่ม Sea steading ซึ่งมีการโฆษณาชักชวนให้ผู้ที่ชื่นชอบในแนวคิดดังกล่าว มาอาศัยอยู่เพื่อจัดตั้งชุมชน โดยมีเป้าหมายที่จะสถาปนาเป็นรัฐอิสระหรือเขตปกครองตนเองขึ้นในอนาคต ในข้อกล่าวหา กระทำการใด ๆ เพื่อให้ประเทศชาติหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของประเทศตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา119 และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรวิชิต ได้ส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการสูงสุดดำเนินการรับเป็นคดีแล้ว จึงจะดำเนินการยึดของกลาง (บ้านลอยน้ำ) ดังกล่าว พร้อมเคลื่อนย้ายกลับเข้าฝั่ง เพราะหากปล่อยไว้จะก่อให้เกิดผลกระทบกับการเดินเรือได้

ล่าสุดเมื่อเวลาประมาณ 11.00น.วันนี้ (20เม.ย.62) เรือตรวจการชายฝั่ง ต.991 ภายใต้การสั่งการของ พล.ร.ท.สิทธิพร มาศเกษม ผู้อำนวยการ ศรชล.ภาค 3นำโดย นาวาเอกภุชงค์ รอดนิกร เสนาธิการ กองเรือปฏิบัติการ ทัพเรือภาคที่ 3 นำเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานใน ศรชล.ภาค 3และสื่อมวลชนเข้าร่วมสังเกตการณ์ บริเวณจุดก่อสร้างบ้านลอยน้ำ ตามแนวทางของSea Steadingบริเวณละติจูด 7 องศา 29.37 ลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 34.81 ลิปดาตะวันออก หรือบริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะราชาใหญ่ ห่างจากเกาะภูเก็ตไปประมาณ 14 ไมล์ทะเล หรือประมาณ 22 กิโลเมตรทั้งนี้เพื่อเป็นพยานว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเป็นการดำเนินการด้วยความสุจริตใจ ไม่ได้กลั่นแกล้ง หรือทำให้สิ่งก่อสร้างได้รับความเสียหาย แต่ทำเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาที่ขยายเป็นวงกว้างและยากที่จะแก้ไข

ทัพเรือภาค 3 นำสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์เตรียมการรื้อถอนบ้านกลางทะเล

เมื่อไปถึงบริเวณดังกล่าว พบเรือหลวงริ้น ซึ่งเดินทางมาจากฐานทัพเรือพังงา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองโรงงาน ฐานทัพเรือพังงา และชุดปฏิบัติการพิเศษ ทัพเรือภาคที่3 มาเตรียมความพร้อม เพื่อเตรียมการรื้อสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว ทั้งนี้ได้นำสื่อมวลชนลงเรือยางไปยังบ้านลอยน้ำดังกล่าว เพื่อให้เห็นสภาพที่แท้จริง ก่อนที่จะสรุปแนวทางปฏิบัติ โดยจากการตรวจสอบพบว่า ยังไม่สามารถที่จะรื้อถอนได้ เนื่องจากการติดตั้งมีรูปแบบที่แตกต่างจากการก่อสร้างปกติ และต้องใช้ผู้ชำนาญการเฉพาะทางในการดำเนินการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหาย หรือพลัดตกลงไปในทะเล ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาอื่นตามมา เนื่องจากวัตถุดังกล่าวเป็นของกลางสำคัญในการดำเนินคดีในคดีดังกล่าว โดยหลังกลับขึ้นฝั่งจะมีการประชุมร่วมกับทางเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติ กับผู้ที่มาติดตั้งวัตถุลอยน้ำดังกล่าว เพื่อสรุปแนวทางในการรื้อถอนและเคลื่อนย้ายวัตถุกลับเข้าฝั่งต่อไป

การดำเนินการดังกล่าว สืบเนื่องจาก ศรชล.ภาค3 ได้มีการตรวจพบสิ่งก่อสร้างตามแนวทางของกลุ่ม Sea Steading บริเวณนอกชายฝั่งจังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการรักษาความมั่นคงทางทะเลเจ้าหน้าที่ตำรวจและจังหวัดภูเก็ต ได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยการดำเนินการทางกฎหมายที่เกิดขึ้นบนบกจะเป็นหน้าที่ของจังหวัดภูเก็ตในการบูรณาการส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สำหรับการดำเนินการทางกฎหมายที่เกิดขึ้นในทะเลจะเป็นหน้าที่ของศรชล.ภาค3ในการบูรณาการส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

ทัพเรือภาค 3 นำสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์เตรียมการรื้อถอนบ้านกลางทะเล

โดยเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2562 พล.ร.ท.สิทธิพร มาศเกษม ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่3ในฐานะผู้อำนวยการ ศรชล.ภาค 3ได้จัดเรือ ต.991พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปทำการตรวจสอบสภาพสิ่งแวดล้อมสี่ Sea Steading พบว่ามีลักษณะเอียงไปข้างหนึ่ง และมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการพังลงมา เนื่องจากขณะนี้มีสภาพคลื่นลมที่เริ่มแรงขึ้น รวมทั้งโซ่ที่ยึดตรึงเริ่มที่จะมีการส่ายไปมา ดังนั้นหากมีการพังลงมาหรือหลุดลอยออกไปจะทำให้ส่งผลกระทบต่อการเดินเรือที่อาจทำให้เรือสินค้าหรือลำเลียงน้ำมันที่เดินทางผ่านในพื้นที่เกิดการชนขึ้น และจะส่งผล กระทบต่อการรั่วไหลของน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาต่อสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ รวมทั้งจะเป็นอุปสรรคต่อการเดินเรือประมงในพื้นที่

ตามอำนาจหน้าที่ของ ศรชล.ภาค 3ตาม พ.ร.บ. การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 ในมาตราที่3 (1)มาตรา 25 มาตรา 27 มาตรา 28 และมาตรา 30 ได้ให้อำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแล ป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้งจัดการ แก้ไขหรือบรรเทาปัญหาเหตุการณ์สาธารณภัยหรือการกระทำผิดกฎหมายที่กระทบหรืออาจส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเลหรือกิจกรรมทางทะเล

ทัพเรือภาค 3 นำสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์เตรียมการรื้อถอนบ้านกลางทะเล

จากเหตุผลและความจำเป็นตามที่กล่าวมาในข้างต้น รวมทั้งอาจทำให้เกิดผลต่อประจักษ์พยานหลักฐานที่มีความจำเป็นต้องมาใช้ประกอบการดำเนินคดีที่ต้องการมีการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไปนั้น จึงทำให้ ศรชล.ภาค 3 ต้องตัดสินใจดำเนินการนำตัวก่อสร้างดังกล่าวกลับสู่ฝั่งในโอกาสแรก เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ที่ผ่านมา ศรชล.ภาค 3 ได้พยายามติดตามผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของแต่ไม่สามารถติดต่อได้

ด้าน พล.ร.ท.สิทธิพร มาศเกษม ผอ.ศรชล.ภาค 3 กล่าวว่า การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้น เป็นไปด้วยความสุจริต ไม่ได้มีการกลั่นแกล้งทำให้สิ่งก่อสร้างได้รับความเสียหาย โดยดำเนินการเป็นไปเพื่อไม่ให้ก่อให้เกิดปัญหาที่ขยายเป็นวงกว้างและยากที่จะแก้ไข ทั้งนี้เมื่อได้ทำการลากกลับเข้าสู่ฝั่งแล้ว ทาง ศรชล.ภาค3 จะได้ประสานหน่วยที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวังให้ดีที่สุด และหากผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของบ้านลอยน้ำจะมาแสดงสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ ก็สามารถเข้าตรวจสอบได้ก่อนที่จะมีการเคลื่อนย้าย โดยเจ้าหน้าที่จะได้มีการจัดทำบัญชีรายการของไว้เรียบร้อย รวมทั้งขอให้มาแสดงตัวตน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทางการไทยจะได้ดำเนินการสอบสวนให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป

ทัพเรือภาค 3 นำสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์เตรียมการรื้อถอนบ้านกลางทะเล

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

“วิษณุ”ท้า บ.ก่อสร้างบ้านกลางน้ำฟ้องศาลระหว่างประเทศ ยัน กองทัพเรือ มีอำนาจรื้อ

related