- “อุรุกวัย” จบรอบแบ่งกลุ่มใน “ฟุตบอลโลก” เป็นครั้งที่ 5 ด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม (4 ครั้งที่พวกเขาเคยทำได้คือฟุตบอลโลก 1930 ,1950 ,1954 และ 2010)
- “อุรุกวัย” เป็นทีมแรกที่เอาชนะได้ทั้ง 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม โดยไม่เสียประตู นับตั้งแต่ที่ “อาร์เจนติน่า” เคยทำได้เมื่อ “ฟุตบอลโลก 1982” (และอาจเป็นทีมเดียวในฟุตบอลโลกครั้งนี้ หาก “โครเอเชีย” พลาดเสียประตูในเกมสุดท้าย)
- “อุรุกวัย” เอาชนะทีมจากทวีปยุโรปได้ใน “ฟุตบอลโลก” เป็นเกมที่ 3 ติดต่อกัน (ฟุตบอลโลก 2014 ชนะอังกฤษ 2-1 , ชนะ อิตาลี 1-0)
- “อุรุกวัย” สามารถเอาชนะ “รัสเซีย” ได้เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 1970 (ก่อนหน้านี้ทั้งคู่เจอกันทั้งหมด 8 ครั้ง รัสเซียชนะ 6 เสมอ 1 แพ้ 1)
- “หลุยส์ ซัวเรซ” ทำประตูใน “ฟุตบอลโลก” ไปแล้ว 7 ประตู ในนามทีมชาติ มีเพียง “ออสการ์ มิเกล” ตำนานทีมชาติอุรุกวัยปี 1958 ที่ทำประตูใน “ฟุตบอลโลก” มากกว่าเขา (8 ประตู)
- “เอดิสัน คาวานี่” เป็นนักเตะคนที่ 2 ของ “อุรุกวัย” ที่สามารถทำประตูใน “ฟุตบอลโลก” ได้ 3 สมัยติดต่อกัน (ปี 2010 ,2014 และ 2018) ต่อจาก “หลุยส์ ซัวเรซ” ดาวยิงขาโหดจาก “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า
- “รัสเซีย” เป็นชาติแรกของทวีปยุโรป ในฐานะเจ้าภาพ ที่จบรอบแบ่งกลุ่มโดยไม่สามารถคว้าแชมป์กลุ่มได้ นับตั้งแต่ “ฟุตบอลโลก 1982” (สเปนเจ้าภาพในครั้งนั้น ทำได้เพียง 3 แต้ม จากผลเสมอทั้ง 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม "ไอแลนด์เหนือ" มี 4 แต้ม คว้าแชมป์กลุ่ม)
- “อิกอร์ สโมลนิคอฟ” นักเตะคนแรก ในฐานะเจ้าภาพ “ฟุตบอลโลก” ที่ถูกผู้ตัดสินให้ใบแดง นับตั้งแต่ “มาร์กเซล เดอไซญี” ปราการหลังระดับตำนานทีมชาติฝรั่งเศส ที่ถูกไล่ออกเหมือนกันในเกมพบกับ “บราซิล” ใน “ฟุตบอลโลก 1998”
“อุรุกวัย” เก็บ 9 แต้มเต็มจาก 3 นัดในรอบนี้ เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในฐานะแชมป์กลุ่มเอ จะเข้าไปพบกับอันดับ 2 ของกลุ่มบี ในคืนวันที่ 1 กรกฎาคม เวลา 01.00น. ตามเวลาประเทศไทย
ส่วน “รัสเซีย” เจ้าภาพมี 6 แต้มเท่าเดิม เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม จะเข้าไปพบกับแชมป์ของกลุ่มบี ในวันเดียวกันเวลา 21.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ส่วนผลอีกคู่ในกลุ่มเดียวกันที่ตกรอบไปแล้วทั้งคู่ “ซาอุดิอาระเบีย” พลิกแซงท้ายเกมก่อนชนะ “อียิปต์” 2-1
ขอบคุณภาพจาก FIFA World Cup