ตำรวจแจงรถเก๋ง ที่ไม่ยอมให้ล็อกล้อ แท้จริงเป็นแกร็บคาร์ เจ้าตัวตกใจเจอเรียกเลยขับหนี

จากกรณีที่โลกโซเชียล มีการแชร์คลิป เหตุการณ์ที่เจ้าของรถยนต์ พยายามขับรถหลบหนี และไม่ยินยอมให้ตำรวจล็อกล้อ บริเวณแยกพาหุรัด ตามที่ได้เสนอไปแล้ว (โกลาหลทั้งถนน ! 4ตำรวจล้อมรถสกัดเก๋ง หวังหนีไม่ให้โดนล็อกล้อ)

ล่าสุดทีมข่าวได้รับคำชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเวลาประมาณ 10.30 น. ในพื้นที่ของสน.พระราชวัง ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการกวดขันวินัยจราจรตามนโยบายจัดระเบียบรถยนต์โดยสารสาธารณะ และจักรยานยนต์ไม่สวมหมวกนิรภัย และการจอดรถในที่ห้ามจอด และระหว่างนั้นเอง ตำรวจได้พบรถ รถยนต์ นั่งส่วนบุคคล ยี่ห้อ ซูซูกิ สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน 6กฆ-256 กรุงเทพมหานคร ขับผ่านมาบริเวณวงเวียนรักษาดินแดน ถนนสนามไชย วิ่งผ่านมา

โดยภายในมีผู้โดยสารเป็นชาวต่างประเทศ จำนวน 2 คน ตำรวจจึงแสดงตัวเรียกตรวจ แต่รถคันดังกล่าว ไม่หยุดรถให้ตรวจ ได้ขับรถต่อไปมาทางถนนพระพิพิธ ตำรวจจราจรจึงขี่รถจักรยานยนต์ติดตามมาทันที่บริเวณข้างสถานีวิทยุสวนเจ้าเชตุ ถนนพระพิพิธ และเรียกให้หยุดรถอีกครั้ง ซึ่งผู้ขับขี่ได้หยุดรถและจากนั้นชาวต่างชาติ 2 คนได้เดินลงจากรถ ตำรวจจราจรจึงขอตรวจสอบใบอนุญาตขับขี่ แต่ผู้ขับขี่ได้ปิดกระจกรถแล้วได้ขับรถต่อไป

ทำให้ตำรวจต้องขับรถติดตามกระทั่งวิ่งมาทันที่ บริเวณแยกพาหุรัด ตามที่ปรากฎในคลิป ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้พยายามให้คนขับนำรถจอดข้างทาง ผู้ขับขี่จึงยินยอม จอดเข้าข้างทาง ใกล้แยกพาหุรัดและลงมาพูดคุยกับตำรวจ โดยเป็นช่วงจังหวะเดียวกันกับที่ตำรวจ เกรงว่าผู้ขับขี่จะขับรถออกไปอีก จึงได้ใช้เครื่องบังคับล้อบังคับไว้ แล้วจึงได้ขอดูใบอนุญาตขับขี่ และแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ใช้รถไม่ตรงตามประเภทที่จดทะเบียนไว้” (Grab car) ซึ่งเป็นผิดตาม พ.ร.บ.รถยนต์ มาตรา ๒๑ มีโทษตามมาตรา ๖๐ ปรับไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท ผู้ขับขี่อยู่ในอาการตกใจ จึงได้เชิญ มายัง สน.พระราชวัง เพื่อพบพนักงานสอบสวน และสงบสติอารมณ์

จากการสอบสวนทราบชื่อคนขับคือ นางสาวสรชา รติโอฬาร ให้การว่า เธอรับนักท่องเที่ยวชาวจีน มาส่งยังวัดโพธิ์ เพื่อรับสินจ้างจริง แต่ไม่ทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตามกฎหมาย และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจ ซึ่งตนไม่เคยกระทำความผิดและไม่เคยถูกเรียกตรวจมาก่อน จึงได้เกิดความตกใจและขับรถออกไปโดยไม่ได้หยุดพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนเกิดเหตุตามที่ปรากฏในคลิปวีดีโอ ซึ่งนางสาวสรชา ได้เข้าใจตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอธิบายเรียบร้อยแล้ว และรู้สึกเสียใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยินยอมชำระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนได้ทำการเปรียบเทียบจำนวน 1,000 บาท

ขณะที่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำการจับกุม เห็นว่านางสาวสรชา กระทำไปโดยอาการตกใจ มิได้มีเจตนาในการฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานในการเรียกให้หยุดตรวจ อีกทั้งเจ้าหน้าที่มิได้รับบาดเจ็บจากกระกระทำดังกล่าว หรือนาวสาวสรชา มิได้มีอาการมึนเมาแต่อย่างใด และเมื่อได้ทำการพูดคุยนาวสาวสรชา ก็ได้เข้าใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดีแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ทำการตักเตือนและพูดให้เข้าใจการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งนาวสาวสรชาฯ ได้เข้าใจดีแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงไม่ติดใจเอาความในเรื่องดังกล่าว