ปัญหาหนี้สินเกษตรกร ถือเป็นอีกเรื่องที่รัฐบาล คสช. หวังจะช่วยแก้ปัญหาให้กับเกษตรกรได้ลืมตาอ้าปาก ผ่านการช่วยเหลือของคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พอใจความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรที่เป็นสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร โดยได้รับรายงานว่า "คณะอนุกรรมการเจรจาไกล่เกลี่ยหนี้สิน สามารถตกลงปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ และเข้าซื้อหนี้ของเกษตรกรจากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เช่น ธ.ก.ส. สหกรณ์การเกษตร และธนาคารพาณิชย์ทั่วไป รวมประมาณ 36,000 ราย มูลค่าหนี้ราว 6,000 ล้านบาท โดยจะลดยอดหนี้แต่ละรายลง ร้อยละ 50 และหยุดดอกเบี้ย ระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลสำเร็จมากที่สุด ตั้งแต่ตั้งกองทุนมา ในปี 2542"
นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือเกษตรกร จึงได้ตั้งคณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรเฉพาะกิจ ขึ้น เมื่อเดือนพฤษภาคม 2560 ในการเร่งแก้ไขปัญหาหนี้สินและพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรกร แทนคณะกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟู ตาม พ.ร.บ.กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยตั้งแต่ปี 2549 - 2557 แก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรไปได้เพียง 29,000 รายเท่านั้น จากจำนวนสมาชิกเกษตรกรที่ลงทะเบียนหนี้สินไว้ราว 460,000 ราย
นายกรัฐมนตรี ยังเน้นย้ำว่า เมื่อเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ได้แล้ว จะต้องส่งเสริมให้เกษตรกรลูกหนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถชำระหนี้ตามสัญญาใหม่ได้ โดยกำชับให้สำนักงานกองทุนฯ ไปหาแนวทางฟื้นฟูอาชีพร่วมกับ ธ.ก.ส. และกรมส่งเสริมการเกษตรต่อไป
ทั้งนี้ กองทุนจะร่างระเบียบการขึ้นทะเบียนเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ ใหม่ และเปิดรับลงทะเบียนเกษตรกร เข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้สิน เป็นระยะเวลา 60 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคมเป็นต้นไป จากปกติที่เปิดให้ขึ้นทะเบียนทุกปี ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึง มิถุนายน แต่ในปีนี้ ยังไม่ได้เปิดรับลงทะเบียน นอกจากนี้ จะยกเลิกเพดานวงเงินช่วยเหลือที่กำหนดไว้รายละไม่เกิน 2.5 ล้านบาท เพราะเกษตรกรบางคนมีหนี้สินมากกว่า ซึ่งจะต้องพิจารณาเป็นรายบุคคล โดยหลังจากที่เกษตรกรขึ้นทะเบียนแล้ว จะดำเนินการแยกประเภทหนี้ให้มีความชัดเจนโดยเร็ว