ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
ประเด็นแรก เรื่อง การแบ่งประเภทยาตามร่าง มาตรา 4 ว่าด้วย นิยาม
ฉบับเดิม มีการกำหนดนิยามคำเดิม มี 4 ประเภท
-ยาอันตราย
-ยาควบคุมพิเศษ
-ยาสามัญ
-ยาแผนปัจจุบัน (ยาที่ไม่มีอันตราย)
ฉบับใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล โดยยึดหลักการคุ้มครองผู้บริโภคเพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา จากการที่ยาทุกชนิดมีทั้งคุณและโทษ การใช้ยาตามหลักสากลส่วนใหญ่จึงแบ่งยา ประเภทยา จะมีเพียง 3 กลุ่ม คือ
-ยาควบคุมพิเศษ (ยาที่จ่ายตามใบสั่ง Prescription only)
-ยาอันตรายพิเศษ (ยาที่จ่ายโดยเภสัชกร Pharmacist only)
-ยาสามัญ ยาที่ประชาชนเลือกใช้ได้เอง (Self-medication) ซึ่งเป็นที่เข้าใจโดยง่ายของประชาชนในการได้มาซึ่งยารักษาโรค
ประเด็นที่ 2 ประเด็นนี้มีการถกเถียงกันในวงกว้างกัน และค่อนรุนแรง ถึงมีความไม่เหมาะสม !
บทบาทหน้าที่ของวิชาชีพเภสัชกรรมในการปรุงยาและจ่ายยาตามใบสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรม และผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์
ร่างพ.ร.บ.ยา ฉบับใหม่ ได้ให้อำนาจนี้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพอื่นไว้ในวงกว้าง ซึ่งเป็นที่มาของข้อขัดแย้งระหว่างวิชาชีพว่าด้วยการผลิตยาและการผลิตผสมยาให้ผู้ป่วยเป็นการเฉพาะราย
การที่ไม่ให้ผู้ประกอบวิชาชีพทุกวิชาชีพ นำยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับแล้วมาผสมใหม่ แม้จะผสมตามหลักวิชา แต่ยกเว้นให้ผสมได้เฉพาะกรณีการให้ยาในขณะดูแลรักษาผู้ป่วยเฉพาะรายของตน เนื่องจากการนำยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับแล้วมาผสมใหม่ถือว่าเข้าข่ายการผลิต เกิดเป็น “ยาสูตรตำรับใหม่” ที่ตามหลักสากลต้องผ่านการตรวจสอบทั้งด้านประสิทธิผล ความปลอดภัยและคุณภาพอย่างเข้มงวดการผสมยา แบ่งบรรจุยา และผลิตยา ควรเป็นไปตามหลักวิชาเภสัชกรรม ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานและปลอดภัย การระบุให้วิชาชีพใดก็ได้สามารถทำหน้าที่ผสมยา แบ่งบรรจุยา และผลิตยาจึงส่งผลต่อความไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ยา
ผู้ที่มีบทบาทหน้าที่ เกี่ยวกับยา
-แพทย์ จะเป็นผู้วิเคราะห์ วินิจฉัยอาการ และสั่งยา
-พยาบาล ดำเนินการสั่งยา
-เภสัชกร ดูแลเก็บยา จัดยาตามใบสั่งแพทย์ ร่วมวิเคราะห์การสั่งยา อธิบายยาให้ผู้ป่วยได้เข้าใจ
พ.ร.บ.ยาเดิม ผู้มีหน้าที่ในการจ่ายยา - เภสัชกร แพทย์ ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ (จ่ายยาสำหรับรักษาผู้ป่วยเฉพาะรายของตน)
พ.ร.บ.ยาใหม่ ผู้มีหน้าที่มีการจ่ายยา เพิ่มขึ้นมาจากเดิม -พยาบาลวิชาชีพ นักเทคนิคการแพทย์ นักกายภาพบำบัด แพทย์แผนไทย
ก่อนหน้านี้ ภญ.ศิริรัตน์ ตันปิชาติ นายกสมาคมเภสัชกรรมชุมชน กล่าวว่า การแก้ไข ร่าง พ.ร.บ. ยา ในครั้งนี้ ไม่คำนึงถึงหลักการ โดยเฉพาะเรื่องการให้บุคคลที่ไม่ใช่เภสัชกรเป็นผู้มีอำนาจในการจ่ายยา
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอื่นๆ อีกที่ ทาง ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา หรือ กพย. มีข้อเสนอให้ ถอนร่างพระราชบัญญัติยา ฉบับใหม่ออก เช่น การกำหนดให้มีการจดแจ้งชีววัตถุหรือการจดแจ้งการโฆษณายา ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะมีการควบคุมที่เข้มงวด เพราะเป็นเรื่องที่มีความสุ่มเสี่ยงอย่างมาก ทั้งนี้กระบวนการจดแจ้งเป็นกระบวนการอนุญาตที่มุ่งอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ แต่อาจก่อให้เกิดผลร้ายได้ อาทิ กรณีการจดแจ้งผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคอย่างมากมายจนเป็นที่ทราบกันทั่วไป แต่เหตุใดจึงบัญญัติกฎหมายออกมาอย่างหละหลวมไม่มีความรัดกุม