ศึก 3 ก๊กที่โคราช
อัดอั้นกันมายาวนาน 8 ปี พอได้ฤกษ์จะเกิดการเลือกตั้ง ก็มาพร้อม กฎ กติกา ที่เปลี่ยนไป ร้างราการเมืองในภาคปกติไปนาน การสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ของแต่ละพรรคการเมือง จึงเปิดฉากดุเดือดกันตั้งแต่ กรรมการยังไม่ได้เป่านกหวีดเลยด้วยซ้ำ
มีแนวโน้มว่าเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งหน้า จะฟัดกันแรง ทั้งจากแรงอั้นไม่ได้เลือกตั้งมานานถึง 8 ปี หากนับถึงปี 62 บวกเข้ากับกฎ กติกาใหม่ คะแนนส.ส.เขตจะถูกนำไปนับรวมคำนวณจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อด้วย
พรรคการเมือง จึงต้องพยายามส่งผู้สมัครให้ได้มากเขตที่สุด และต้องพยายามคัดสรรคน ซึ่งเป็นที่รู้จักดีและมีฐานเสียงในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ด้วย
จึงนำไปสู่การประเมินตั้งแต่ต้นว่า แต่ละเขตเลือกตั้ง จะมีผู้สมัคร ส.ส.จำนวนมาก หากนับจากจำนวนพรรคทั้งที่เป็นพรรคเก่าและยื่นจดทะเบียนตั้งพรรคใหม่ กรณีสามารถฝ่าด่านอรหันต์ด่านแรก คือระดมทุนประเดิมพรรคได้มากกว่า 1 ล้านบาท ตามกฎหมายกำหนดไว้
การหาเสียงในพื้นที่ก็จะเข้มข้นตามไปด้วย ขณะที่แรงส่งจาก 2 ขั้วการเมืองเอา-ไม่เอาบิ๊กตู่ หรือ เอา-ไม่เอาทักษิณ จะยิ่งเพิ่มดีกรีความเข้มข้นรุนแรง
ดังจะเห็นได้จากกรณีใช้ อสม.หรือ อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน ไปกว้านซื้อบัตรประชาชนในหลายอำเภอที่นครราชสีมาเพื่อสมัครเป็นสมาชิกพรรคแบบรับมาก่อน-ผ่อนจ่ายทีหลัง ที่กำลังเปิดฉากฟัดกันนัวเนียนุงนังอยู่ในขณะนี้
นครราชสีมาเมืองย่าโม เป็นเมืองหน้าด่านประตูสู่ภาคอีสาน มีเนื้อที่กว้างขวางกว่า 2 หมื่นตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 2.7 ล้านคน (ปี 2558) เคยมีจำนวน ส.ส.มากถึง 17 คน แม้การเลือกตั้งหลังสุด เมื่อปี 2554 จะมีจำนวน ส.ส.เหลือ 15 คน แต่ยังมากเป็นอันดับ 2 รองจากกรุงเทพฯ
จึงเป็นเขตเลือกตั้งที่ทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคใหญ่ หมายมั่นปั้นมือจะปักธงแย่งชิงเก้าอี้ ส.ส.ให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย “แชมป์เก่า”8 คนในการเลือกตั้งครั้งหลังสุด หรืออดีตเจ้าของพื้นที่เดิมอย่างพรรคชาติพัฒนา สมัย "น้าชาติ” พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เมื่อ 35/2 เลือกตั้งปี 38 และ 39 รวมทั้งสมัยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เลือกตั้งปี 44 ที่พรรคเอาชนะพรรคคู่แข่งได้อย่างเด่นชัด หรือแม้แต่พรรคภูมิใจไทย ซึ่งมุ่งมั่นจะขอ”แก้มือ”จากครั้งที่แล้ว ซึ่งได้เพียง 3 ที่นั่ง
[caption id="attachment_340195" align="aligncenter" width="1568"]
การขยับตัวเคลื่อนไหวในพื้นที่ไม่ว่าจะโดยพรรคไหน จึงไม่อาจรอดพ้นสายตาพรรคคู่แข่ง อย่างที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯได้กระตุกเตือนทุกพรรคการเมืองให้ระมัดระวัง เมื่อว่าที่ผู้สมัครของบางพรรคร้อนรนชิงเปิดเกมรุกก่อน จึงเข้าทางอีกฝ่ายที่รอจังหวะอยู่แล้ว
ไม่เพียง “แรมโบ้อีสาน”สุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ไปยื่นเรื่องต่อ กกต.จังหวัดนครราชสีมา เรียกร้องให้ดำเนินการตรวจสอบและยุบพรรคภูมิใจไทยแล้ว ยังมีความเคลื่อนไหวจากกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำเรื่องนี้ไปยื่นร้องเรียนต่อ กกต.กลาง กล่าวหาพรรคภูมิใจไทย เช่นเดียวกัน
[caption id="attachment_340214" align="aligncenter" width="1280"]
พรรคเพื่อไทย คือพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาแทนพลังประชาชน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคเมื่อปลายปี 51 กรณีผู้สมัคร ส.ส.ถูกใบแดงพร้อมกับพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก่อนที่ ส.ส.ส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชาชน จะทิ้งเรือที่กำลังจม ยกขบวนไปจัดตั้งพรรคภูมิใจไทย และหันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี สร้างความไม่พอใจอย่างยิ่งให้กับอีกฝ่าย
ถือเป็นจุดเริ่มต้นของ”แค้นฝังหุ่น” ที่รอคอยเวลา”สะสางบัญชีแค้น”มานานนับ 10 ปีแล้ว
สำหรับแรมโบ้อีสาน อ้างว่าได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว ปัจจุบันเคลื่อนไหวในนามประธานชมรมชมรมคนรักแผ่นดินบ้านเกิด แต่ก่อนหน้านี้ ได้ประกาศชัดว่าเข้าร่วมกิจกรรมการเมืองกับกลุ่มสามมิตร ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า จะเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสนับสนุน”บิ๊กตู่”
ขณะที่พรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรค ออกโรงตอบโต้เรื่องนี้ ยืนยันจะดำเนินคดีกับนายสุภรณ์ในทุกข้อหาที่ทำผิด รวมถึงกลุ่มผู้ที่สนับสนุนแรมโบ้อีสาน โดยยืนยันว่า ผู้ที่ถูกกล่าวหา ยังไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย แค่เสนอตัวเป็นผู้สมัคร ส.ส. แต่พรรคยังไม่ได้พิจารณาเนื่องจาก คสช.ยังไม่”คลายล็อค”ให้กับพรรคการเมืองทำกิจกรรม รวมถึงรับสมัครสมาชิกพรรค
[caption id="attachment_340200" align="aligncenter" width="1280"]
ข้อกล่าวหาของนายสุภรณ์ จึงเป็นความเท็จ...
สำหรับพรรคภูมิใจไทย “เสี่ยหนู”นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรค เพิ่งจะตอกย้ำจุดยืนของพรรค ....“หากไม่สามารถนำความรู้ ความสามารถ และนโยบายที่หาเสียงไว้ของพรรค ไปพัฒนาประเทศได้ ผิดไปจากนี้ เราขอทำหน้าที่ฝ่ายค้าน”
[caption id="attachment_340204" align="aligncenter" width="960"]
นั่นหมายถึงยังมีนัย อาจไม่ร่วมรัฐนาวา”บิ๊กตู่”อย่างที่ใครๆคาดหมายเอาไว้ และต้องไม่ลืมว่า ปฏิบัติการ”ดูด”ส.ส.ของกลุ่มสามมิตร มีคนของพรรคภูมิใจไทย รวมอยู่ด้วยหลายคน แน่นอนว่า ผู้บริหารพรรคคงไม่แฮปปี้
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นการห้ำหั่นกันของพรรคการเมือง ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นสังเวียนชกด้วยซ้ำไป เพราะยังไม่มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ยังไม่มีการ”ปลดล็อค” หรือแม้แต่”คลายล็อค”พรรคการเมืองด้วยซ้ำไป
แค่ประดาบ ก็เลือดเดือด!!
