วิวัฒน์ ศัลยกำธร หรืออาจารย์ยักษ์ ที่ลูกศิษย์ตัวน้อย เกษตรกรกลุ่มใหญ่เรียกขาน เป็น “ประธานมูลนิธิกสิกรรมธรรมชาติ” และประธานสถาบันเศรษฐกิจพอเพียง เคยถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท ในสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) ขับเคลื่อนสานต่อพระราชดำริ รัชกาลที่ 9 มาตลอด จนมาเป็นรัฐมนตรีช่วยกระทรวงเกษตรฯ ยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์
โดยชูนโยบายทำงานว่า “ต้องพัฒนาคน รวมกลุ่มคน สร้างเครือข่าย” โดยยึดถือแนวพระราชดำริ เป็นหลักในการขับเคลื่อนงาน ยึดมั่นการทำงานเพื่อประชาชน คำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักทั้งมิติสังคม ชาวบ้าน และภูมิศาสตร์ .....คือคำประกาศที่แม่นมั่นและชัดเจน
ดูท่า....ถือธงนโยบายทำงานดังกล่าว น่าจะได้รับความร่วมมือร่วมใจอันดีจากหน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้อง
กระทั่ง มีการ”จับตา” กับเสียงประกาศลั่นกับเกษตรกรให้ดับเครื่องชน เดินหน้าเพื่อ ”ยกเลิก 3 สารพิษ” พาราควอตไกลโฟเซตและคลอร์ไพริฟอส
ทั้งที่มีทัพหนุนภาครัฐ อย่างกระทรวงสาธารณสุข ภาคนักวิชาการ เช่นกลุ่มแพทย์ ภาคประชาชนและเกษตรกร ออกมาสนับสนุน
ขณะที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่มีตัวแทนนักธุรกิจการเกษตร ข้าราชการ นักวิชาการ มีกรรมการบางส่วน “ปฏิเสธ” ที่จะยกเลิก 3 สารพิษดังกล่าว
กระทั่งมาถึงมือพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดผ่านสื่อมวลชนให้ “ยกเลิก” เพื่อเป็นการดูแลความปลอดภัยของประชาชน และเกษตรกร หลังจากเครือข่ายภาคประชาชน บุกถึงทำเนียบ ร้องขอให้มีคำสั่งยกเลิก ซึ่งบิ๊กตู่ ก็รับปากสางปัญหา ให้แล้วเสร็จ
สำหรับ”ปมปลด” อาจารย์ยักษ์ จากรมช.เกษตร มาจากไหน?? เสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางเดียวกัน นั่นคือ เซ่นแบน 3 สารพิษ
เมื่อสอบถามไปยังกลุ่มภาคประชาชน ช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ ปมนี้ วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ แห่งมูลนิธิชีววิถี บอกกับเราว่า น่าจะมาจาก ประกาศสนับสนุนการแบนสารพิษร้ายแรง ซึ่งเป็นการลดทอน “ผลกำไร” จากการค้าสารพิษของบริษัทยักษ์ใหญ่ และบริษัทค้าสารพิษอื่นๆที่มียอดขายรวมกัน 70,000-90,000 ล้านบาทต่อปี พวกนี้มีอิทธิพลขนาดไหน ดูได้จากการที่ประเทศนี้ไม่เคยเก็บภาษีสารพิษเหล่านี้ได้เลย ทั้งภาษีนำเข้า และภาษีมูลค่าเพิ่ม นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา
สอง อาจารย์ยักษ์ประกาศผลักดันพื้นที่เกษตรกรรมยั่งยืน 5 ล้านไร่ในรูปแบบต่างๆ เช่น เกษตรผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ วนเกษตร เกษตรทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรเชิงนิเวศรูปแบบอื่นๆ อีกทั้งยังผลักดันร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการวางรากฐานของการขับเคลื่อนเพื่อเพิ่มพื้นที่เกษตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้ขยายออกไปในอนาคต และจะมีผลสืบเนื่องแม้เมื่อหมดยุคของรัฐบาลนี้ก็ตาม
การผลักดันทั้งสองเรื่องนี้ ส่งผลกระทบต่อแผนการขยายพื้นที่ปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์และพืชอุตสาหกรรมอื่นของกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรในคณะกรรมการ "ประชารัฐ" ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังค้ำจุนรัฐบาลนี้ และกลุ่มทุนกลุ่มนี้ยังเป็นที่พึ่งให้กลุ่มคนในรัฐบาลอีกหลายคนที่ต้องการสืบทอดอำนาจทั้งในระหว่างการเลือกตั้งและหลังการเลือกตั้งที่จะมาถึง
หากมีการปลดอาจารย์ยักษ์จริง นี่คือหลักฐานสำคัญอีกชิ้นที่บอกว่า การพ่นคำศัพท์ “ศาสตร์พระราชา” “เศรษฐกิจพอเพียง” “เกษตรอินทรีย์” ของรัฐบาลคสช. เป็นแค่เพียงคโกหกพกลม ฉาบทาการปฏิบัติที่เอื้ออำนวยประโยชน์ให้กลุ่มบรรษัทสารพิษและอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ยักษ์ใหญ่ หลอกลวงประชาชนไปวันๆ เท่านั้น
หากมีการปรับครม. แม้อาจารย์ยักษ์ ยังอยู่ในตำแหน่งต่อ ก็ไม่มีประโยชน์อะไร หากสารพิษร้ายแรงยังไม่ถูกยกเลิกการใช้ และร่าง พ.ร.บ.เกษตรกรรมยั่งยืนถูกตีกลับ เพราะการคัดค้านของกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ที่บงการประเทศอยู่ในทุกวันนี้
ยังไม่นับรวม นพ.ธีรวัฒน์ เหมะจุฑา หมอด้านประสาทวิทยาคนสำคัญที่เผยแพร่ข้อมูลการวิจัยมากมายเพื่อสนับสนุนให้มีการแบนสารพิษต่างๆ
ยังเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ถ้าอาจารย์ยักษ์ ไม่สามารถทำนโยบายเลิกใช้สารพิษนี้ได้ ทั้งที่ทั่วโลกเขาเลิกใช้กัน
....เท่ากับปลุกประชาชนให้ลุกขึ้นมาสู้กับทุนนิยมที่เห็นแต่ประโยชน์ของตนนั่นเอง