อย่า"ขี้แพ้ชวนตี" หยุดปั่นบ้านป่วนเมือง

ทำเนียนถึงขั้น “ปลอมพระราชกฤษฎีกา” เผยแพร่ไปทั่ว ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวคือ โหมกระพือเรื่องอันเป็นเท็จเพื่อสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง

และถือเป็นการโจมตีกล่าวหา คสช.และทหารไปในตัว

แม้ทาง คสช.และกองทัพ จะขยับตอบโต้ผ่านทั้ง ระดับ"บิ๊ก"สีเขียวและทีมโฆษกกองทัพ แต่ข่าวลือเรื่องดังกล่าว ได้ลุกลามไปถึงผู้คนทั้งในและต่างประเทศล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้ว

นี่จึงเป็นความฉับไวของโลกสมัยปัจจุบัน ที่สามารถส่งข่าวสื่อสารถึงกันได้เพียงแค่ปลายนิ้ว จากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่ง

กว่าออกโรงแก้ข่าว ปฏิเสธ ความย่อยยับเสียหายก็ไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

การขยับของคนในยุคสมัยปัจจุบัน จึงเป็นแบบ "ทำก่อนได้เปรียบ"

นั่นเท่ากับว่า นับจากนี้ไปกระทั่งถึงวันเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 และอาจยาวไปถึงหลังเลือกตั้ง ซึ่งจะมีขั้นตอนอีกมากกว่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้าบริหารประเทศ ไม่มีใครรู้ว่า จะมีการแย่งชิงเปิดประเด็นข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนความจริง ให้ผู้คนต้องตื่นตระหนก โดยหวังผลทางการเมืองอีกมากแค่ไหน

ทั้งเป็นการสะท้อนชัดว่า เพียงเพื่อต้องการเอาชนะคู่แข่ง บางพรรคบางคน สามารถจะทำได้ทุกอย่าง แม้แต่เสนอพระนามบุคคลในพระราชวงศ์ เป็นนายกฯ ซึ่งขัดทั้งรัฐธรรมนูญและโบราณราชประเพณี

แม้จะไม่มีอะไรสามารถระบุได้ว่ามีความเชื่อมโยงไปถึงความพยายามสร้างความปั่นป่วนหลายเรื่องในขณะนี้ แต่ไม่สามารถจะห้ามความเชื่อหรือความคิดของผู้คนบางส่วนที่อาจเหมารวมหรือมองในทางตรงข้ามได้

พรรคการเมืองที่เสนอ พระนาม อย่างพรรคไทยรักษาชาติ จึงควรต้องประกาศจุดยืนและความรับผิดชอบ รวมทั้งแสดงให้เห็นว่าพร้อมเดินตามครรลองระบอบประชาธิปไตยในทางปฏิบัติ และพร้อมรับผลจากการกระทำอันมิบังควร

ประเทศไทยบอบช้ำกับการแบ่งสีแบ่งขั้วมานานกว่า 10 ปีแล้ว คนทั้งประเทศเฝ้ารอคอยและโหยหาการเลือกตั้งมานานกว่า 4-5 ปี  เรียกร้องและชุมนุมไม่รู้กี่ครั้งกี่หน โดนควบคุมตัวหรือถูกแจ้งข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งและประกาศ คชส.ก็มาก

พรรคการเมืองและกองเชียร์ของทุกพรรคต้องชูธงเป็นตัวอย่างเพื่อเดินสู่หมุดหมายอย่างสง่างาม

ไม่ทำเรื่องอัปมงคล หรือคิดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ประโยชน์ของพรรค หรือประโยชน์ของใครบางคนที่หวังกลับมามีอำนาจ โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม

หากทำได้ ประเทศชาติก็เดินหน้าต่อได้