ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
ตั้งแต่วันที่ 13 – 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เพียงแค่ 8 วัน เกิดแผ่นดินไหวถึง 6 ประเทศ ความรุนแรงตั้งแต่ 5.5 – 7.3 แมกนิจูด
13 พ.ย. - แผ่นดินไหวขนาด 6.5 แมกนิจูด ที่คอสตาริกา และขนาด 7.3 แมกนิจูด ที่บริเวณชายแดนประเทศอิรักและอิหร่าน
15 พ.ย. – แผ่นดินไหวขนาด 5.5 แมกนิจูด ในเมืองโพฮัง เกาหลีใต้
18 พ.ย. - แผ่นดินไหวขนาด 6.3 แมกนิจูด ในทิเบต
20 พ.ย. - แผ่นดินไหวขนาด 7.0 แมกนิจูด ใกล้นิวแคลิโดเนียในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันออกของออสเตรเลีย
ความถี่ของการเกิดแผ่นดินไหว สร้างความคลางแคลงใจว่า เกิดอะไรขึ้นกับโลก? ซึ่งนักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดและมหาวิทยาลัยมอนทานา สหรัฐอเมริกา ระบุว่า ชาวโลกเตรียมรับมือ โลกจะเผชิญกับแผ่นดินไหวรุนแรงบ่อยครั้งขึ้นในปี 2018 และอีกหลายปีข้างหน้า
ผลงานวิจัยจาก 2 มหาวิทยาลัยระบุว่า การหมุนของโลกและการเกิดแผ่นดินไหวทั่วโลกนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ความยาวของวันวันหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงหน่วยเวลามิลลิวินาทีได้ แม้ความเปลี่ยนแปลงจะเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะปลดปล่อยพลังงานใต้ดินจำนวนมหาศาล
นักวิทยาศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญจากทั้งสองมหาวิทยาลัยยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในแกนโลกเป็นสาเหตุของปรากฏการณ์แผ่นดินไหว ที่สำคัญคือปีนี้ ปี 2017 ครบรอบ 6 ปีของช่วงที่แผ่นดินไหวลดลงมาตั้งแต่ปี 2011 นั่นหมายความว่า โลกของเรากำลังเข้าสู่ช่วงแห่งการเกิดแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้นทั่วโลกไปอีกอย่างน้อย 5 ปี
อีกหนึ่งประเด็นที่ให้ความสนใจคือคำถามที่ว่า การพยากรณ์การเกิดแผ่นดินไหวมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน? ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากทั้ง 2 มหาวิทยาลัยระบุว่า นักวิทยาศาสตร์ด้านแผ่นดินไหวส่วนใหญ่ยังคงเห็นพ้องต้องกันว่า “การพยากรณ์แผ่นดินไหวนั้นยังเป็นไปไม่ได้”