svasdssvasds

พ่อแม่ปวดใจ ไวรัส RSV ในลูกน้อย พัฒนาสู่โรคขั้นรุนแรงได้

พ่อแม่ปวดใจ ไวรัส RSV ในลูกน้อย พัฒนาสู่โรคขั้นรุนแรงได้

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

พ่อแม่ปวดใจ ไวรัส RSV ในลูกน้อย พัฒนาสู่โรคขั้นรุนแรงได้

สำหรับอาการของลูกน้อยที่ติดเชื้อไวรัส RSV หลังผู้ป่วยสัมผัสถูกเชื้อไวรัส ในระยะเวลา 4-6 วัน อาการจะคล้ายไข้หวัด ได้แก่ คัดจมูก มีน้ำมูก มีไข้ต่ำ ปวดศีรษะ ไอแห้ง เจ็บคอ  แต่ไวรัส RSV พัฒนาไปสู่โรคขั้นรุนแรงได้ อย่างการส่งผลให้เกิดปัญหาในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง เช่น โรคปอดบวม โรคหลอดลมฝอยอักเสบ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจหรือโรคปอดเรื้อรัง อยู่แล้ว

 

โดยปกติ อาการของการติดเชื้อไวรัส RSV ในเด็กโตและผู้ใหญ่จะดีขึ้น หลังได้รับการรักษาเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์ แต่ในเด็กเล็กและทารกหลังสัมผัสกับเชื้อไวรัสในช่วง 2-8 วัน อาจมีอาการที่รุนแรงมากกว่า พบอาการดังนี้ เรียงตามลำดับ มีไข้ ไออย่างรุนแรง หายใจมีเสียงหวีด หายใจเร็ว หรือหายใจลำบาก (ทำให้ผู้ป่วยชอบนั่งมากกว่านอน) บริเวณปากหรือเล็บมีสีเขียวคล้ำจากการขาดออกซิเจน เบื่ออาหาร หงุดหงิดง่าย หรือเซื่องซึม เด็กทารกที่มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน

 

วิธีการสังเกต ถ้าอาการหนัก จะเกิด ภาวะขาดน้ำ สังเกตได้จากตอนร้องไห้ จะไม่มีน้ำตาไหลออกมา  ไอและมีเสมหะเป็นสีเทา สีเขียว หรือสีเหลือง  มีน้ำมูกเหนียวทำให้หายใจลำบาก  ปลายนิ้วหรือปากเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำจากภาวะขาดออกซิเจน หรือมีผื่นขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อประเมินอาการ

พ่อแม่ปวดใจ ไวรัส RSV ในลูกน้อย พัฒนาสู่โรคขั้นรุนแรงได้

ไวรัส RSV (RSV Virus) คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่ชื่อว่า Respiratory Syncytial Virus เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคในระบบทางเดินหายใจ ทำให้ร่างกายผลิตสารคัดหลั่ง หรือเสมหะ จำนวนมาก เชื้อไวรัสนี้ แพร่กระจายผ่านการไอหรือจาม ส่วนใหญ่ พบมากในเด็กและทารก ซึ่งเป็นวัยที่มักเกิดอาการรุนแรงและภาวะแทรกซ้อนได้

 

สาเหตุของการติดเชื้อไวรัส RSV

ไวรัสเข้าสู่ร่างกายผ่านทางตา จมูก ปาก หรือสัมผัสเชื้อโดยตรงจากการจับมือ ในประเทศไทยมักพบเชื้อไวรัส RSV ได้บ่อยในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว ไวรัสจะมีชีวิตอยู่ภายนอกร่างกายได้เป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยอาศัยอยู่ตามวัตถุต่าง ๆ และแพร่กระจายได้ผ่านการไอ หรือการจาม

 

การวินิจฉัยการติดเชื้อไวรัส RSV

  • ใช้เครื่องช่วยฟัง (Stethoscope) เพื่อฟังเสียงหวีดในระบบทางเดินหายใจ เสียงการทำงานของปอด หรือเสียงผิดปกติจากส่วนอื่น ๆ ในร่างกาย
  • วัดความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด (Pulse Oximetry) เพื่อตรวจสอบระดับออกซิเจน
  • ตรวจจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว ตรวจหาไวรัส แบคทีเรีย หรือสิ่งแปลกปลอมอื่น ๆ
  • เอกซ์เรย์หน้าอก เพื่อตรวจหาโรคปอดบวม
  • ตรวจหาเชื้อไวรัสจากสารคัดหลั่งในจมูก

 

การดูแลและรักษาอาการที่บ้านได้ แต่ในกรณีที่อาการรุนแรงจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาที่โรงพยาบาล

  • เนื่องจาก ต้องเพิ่มความชื้นในอากาศ เพื่อระบบทางเดินหายใจที่ดีขึ้น ไม่ควรให้ค่าความชื้นในอากาศมากเกินร้อยละ 50 เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราในอากาศ
  • นั่งหรือนอนในตำแหน่งที่หายใจได้สะดวก เช่น นั่งตัวตรง ไม่ห่อตัว ใช้หมอนที่ไม่นุ่มหรือแข็งเกินไป
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำจะช่วยทำให้สารคัดหลัง เช่น เสมหะ หรือน้ำมูก ไม่เหนียวจนเกินไป และไม่ไปขัดขวางการทำงานของระบบทางเดินหายใจ
  • ใช้ยาหยอดจมูก เพื่อช่วยลดอาการบวมของจมูก อาจล้างจมูกด้วยน้ำเกลือและดูดน้ำมูกเพื่อทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
  • รับประทานยาในกลุ่มอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) เพื่อลดไข้
  • ในกรณีที่อาการรุนแรงหรือในผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็กอาจจำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย เช่น อาการปอดบวมจากเชื้อแบคทีเรีย
  • ใช้ยาพ่นขยายหลอดลม เพื่อบรรเทาอาการหายใจมีเสียงหวีด และดูดเสมหะเมื่อมีเสมหะข้นเหนียวจำนวนมาก เพื่อทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น
  • แพทย์อาจใช้ยาเอพิเนฟริน (Epinephrine) เพื่อขยายหลอดลมและลดอาการบวมของทางเดินหายใจ
  • แพทย์อาจให้ออกซิเจน หรือใส่อุปกรณ์ช่วยหายใจ หากพบว่ามีภาวะออกซิเจนต่ำหรือระบบหายใจล้มเหลว พ่อแม่ปวดใจ ไวรัส RSV ในลูกน้อย พัฒนาสู่โรคขั้นรุนแรงได้

ภาวะแทรกซ้อนของการติดเชื้อไวรัส RSV

  • อาการที่รุนแรงได้ในทารก เด็ก ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดหรือหัวใจเรื้อรัง
  • การติดเชื้อในหูชั้นกลาง เกิดจากเชื้อเข้าไปในพื้นที่บริเวณหลังแก้วหู ทำให้เกิดหูน้ำหนวก
  • โรคหอบหืด เชื้ออาจส่งผลระยะยาวทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคหอบหืดได้ในอนาคต
  • เกิดการติดเชื้อซ้ำ เมื่อมีการติดเชื้อแล้วครั้งหนึ่ง จะกลับมาติดเชื้ออีกครั้งได้เสมอ แต่อาการอาจไม่รุนแรงเท่าการติดเชื้อในครั้งแรก มักพบในรูปแบบของอาการหวัด แต่อาจพบอาการรุนแรงได้ในผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอดและหัวใจ

การป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV

  • ลดการแพร่กระจายของเชื้อ โดยเฉพาะทิชชูที่ใช้แล้ว ควรทิ้งลงถังขยะที่ปิดมิดชิด
  • ไม่ควรใช้แก้วน้ำร่วมกับผู้อื่น ควรใช้แก้วน้ำของตัวเอง และหลีกเลี่ยงการใช้แก้วน้ำที่ผู้ป่วยใช้แล้ว
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ทารกที่สูดดมควันบุหรี่เข้าไปมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัส RSV และพบอาการที่รุนแรงได้มากกว่า
  • ทำความสะอาดของเล่นเด็กเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังพบว่าเด็กที่ป่วยมาเล่นของเล่นนั้น ๆ

 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.pobpad.com

คอลัมน์ Youngทัน by อรรธจิตฐา วิทยาภรณ์

related