svasdssvasds

มองการเมืองแบบ ‘บี-พุทธิพงษ์’ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ คิดอะไรอยู่?

มองการเมืองแบบ ‘บี-พุทธิพงษ์’ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ คิดอะไรอยู่?

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

ชื่อของ บี-พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ กลับมายึดพื้นที่สื่ออีกครั้ง หลังจากที่เขาเล่าให้ฟังว่า ตัวเองห่างหายจากการเมืองไปกว่า 3-4 ปี

รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คือ 2 ตำแหน่งล่าสุดของเขา ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

‘ทีมข่าวสปริงนิวส์’ ได้มีโอกาสพูดคุยกับ บี-พุทธิพงษ์ ถึงบทบาทการทำงานของเขา ในฐานะ ‘กุนซือ’ ด้านโซเชียลมีเดียของนายกรัฐมนตรี เจ้าของผลงาน #ตู่ดิจิทัล รวมไปถึงอนาคตทางการเมืองของเขาต่อจากนี้

 

Q : ก่อนอื่นต้องถามเลยว่า คุณพุทธิพงษ์ทำอย่างไร ถึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมใช้โซเชียล

พุทธิพงษ์ : ก็ต้องเรียนตรงไปตรงมาครับว่า วันนี้พี่น้องประชาชนคนไทย ใช้การสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดียเยอะมาก เพราะฉะนั้นการที่เราเป็นภาครัฐบาลแล้วเราอยากทราบปัญหาของประชาชน ในแง่มุม ข้อมูลที่ถูกต้อง แน่นอน! เราก็ต้องลงไปในช่องทางที่พี่น้องประชาชนใช้กันเป็นประจำ

Q : แล้ววางกลยุทธ์โซเชียลมีเดียของท่านนายกฯ ไว้อย่างไรบ้างไหม

พุทธิพงษ์ : (ยิ้ม)...เราไม่ได้มีกลยุทธ์อะไรที่ซับซ้อน ก็เป็นการเพิ่มช่องทางการสื่อสารระหว่างนายกกับพี่น้องประชาชน เราต้องการรับฟังข้อเสนอแนะ ปัญหาต่างๆ รวมถึงเปิดข้อมูลในหลายๆด้าน เพราะที่ผ่านมารัฐบาลโดนโจมตีทางสื่อออนไลน์ ก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเลย และอีกอย่างก็คือ 4 ที่ผ่านมา นโยบายที่ได้ทำไปเยอะมาก แต่อาจจะสื่อสารไปไม่ถึงคนที่เข้าไม่ถือนโยบายนั้นๆ เช่น เราแก้ปัญหาเรื่องที่ดินทำกิน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่คนที่ไม่ได้ใช้หรือเข้าถึงนโยบายก็จะไม่รู้ว่ามันเกิดประโยชน์อย่างไรบ้าง

มองการเมืองแบบ ‘บี-พุทธิพงษ์’ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ คิดอะไรอยู่?

Q : 4-5 ปีนายกฯ ที่ผ่านมา นายกดูไม่สนใจโซเชียล มาเปิดตอนนี้หลายคนเลยสงสัยว่า  หยั่งเสียงหรือเปล่า?

พุทธิพงษ์ : ถามว่าทำตอนนี้หยั่งเสียงไหม ถ้าเรามองว่าปัญหาประชาชนได้เริ่มแก้ มันถือเป็นประโยชน์มากกว่า เพราะตั้งแต่ที่เปิดมายังไม่เห็นมีข้อความอันไหน รูปอันไหนที่เป็นการหาเสียงเลย ส่วนจากนี้ไปก็จะมีนโยบายที่ทำไปแล้ว และนโยบายที่กำลังจะทำ ซึ่งผมว่าก็เป็นเรื่องปกติ เป็นกระบวนการทำงานของตัวท่านนายกเอง

และถ้าถามว่า 4 ปีที่ผ่านมาทำไมไม่ทำ ผมก็เพิ่งเข้ามา ผมก็ไม่สามารถทราบได้

แต่ผมก็เข้าใจว่า ท่านนายกอาจจะอยู่ในโหมดของการทำงาน ท่านนายกรัฐมนตรีทุกท่านตั้งใจทำงานเต็มที่ ไม่ได้มาในรูปแบบที่เป็นนักการเมือง หรือต้องหาเสียง

ดังนั้นข้อแตกต่างของการทำงานของคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หาเสียงมา ก็จะตั้งใจมุ่งมั่นทำงานอย่างเดียว ไม่ได้มีการสื่อสารออกไปว่าทำงานอะไร พูดภาษาง่ายๆ คือไม่ได้หาเสียง

Q : หลายคนสงสัยว่า ท่านนายกเป็นคนเล่นโซเชียลเองไหม

พุทธิพงษ์ : ท่านเล่นเองนะครับ ทุกภาพ ทุกสิ่งที่จะออกไปต้องผ่านตาท่านก่อน หรือบางทีท่านก็จะเป็นคนบอกว่าวันนี้อยากสื่อสารกับประชาชนเรื่องอะไร อยากจะเขียนว่าอย่างไร เราก็แค่ดำเนินการให้แค่นั้นเอง ซึ่งเราก็จะได้จะเห็นมุมมองในอีกแบบหนึ่งที่คนไม่เคยเห็นในตัว พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา

Q : โซเชียลมีเดียระดับนายก แบบนี้ต้องจ้างทีมงานไหม?

พุทธิพงษ์ : เดี๋ยวนี้โลกทันสมัย โซเชียลมีเดียไม่ต้องใช้คนเยอะ ไม่ได้ยากอะไร ของท่านนายก ก็ใช่แค่คนสองคน ซึ่งก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และไม่ใช่งบประมาณของราชการอะไร

 Q : มีคอมเมนต์เข้ามาเยอะ บริหารจัดการอย่างไร?

พุทธิพงษ์ : แน่นอนครับ ก็มีคนเขียนเข้ามาทั้งดีและไม่ดี ซึ่งเราก็ไม่ได้หมายความว่า คนต้องมาชมทั้งหมด ไม่ใช่นะ คนเห็นต่างได้ แต่ต้องเขียนด้วยความสุภาพ ติเพื่อก่อ ติเพื่อเสนอแนะ เห็นต่างอย่างไร นโยบายที่ลงไปมีปัญหาอย่างไร ไม่ชอบแล้วคิดว่าจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้ดีต่อบ้านเมืองดีต่อประเทศ เราอ่านครับ เราช่วยกันอ่าน และจากนี้จะมีการเก็บเป็นข้อมูล เพื่อใช้ในการปรับปรุง

ส่วนถ้าเกิดเป็นคำพูดที่หยาบคายมากๆ เราก็พยายามที่จะลบ เหตุผลเพราะว่า เรามีเยาวชนเข้ามาอ่านได้ เป็นสื่อสาธารณะที่เปิดกว้าง เยาวชนมาเห็นคำพวกนี้มันไม่ดีแน่ ก็ต้องขอความร่วมมือไว้ด้วย

  มองการเมืองแบบ ‘บี-พุทธิพงษ์’ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ คิดอะไรอยู่? Q : คอมเมนต์ดูดุเดือด

พุทธิพงษ์ : ต้องยอมรับว่า 4 ปีที่ผ่านมา โอกาสที่ประชาชนจะได้สะท้อน หรือได้แสดงความคิดเห็นในช่องทางที่เปิดกว้างมีไม่มากนัก พอวันนี้เปิดมา เราก็ถือว่าได้ระบายความกดดันของพี่น้องประชาชน แต่สักพักหนึ่งก็เชื่อว่า จะได้ข้อมูลที่มีประโยชน์ด้วย

Q : ท่านนายกฯ ว่าอย่างไรบ้าง เวลาอ่านคอมเมนต์

พุทธิพงษ์ :  ผมคิดว่าด้วยเวลาที่ผ่านมา ท่านควบคุมตัวท่านเอง ท่านไม่ได้เจ้าอารมณ์ไม่ได้ใส่อารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านก็ดูแต่อันที่เป็นประโยชน์ บางทีอาจจะเห็นไม่ตรงกันแต่มีคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ท่านก็รับฟัง ผมคิดว่าตรงนี้ เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับท่าน เพราะท่านก็ปรับแล้วก็เปิดให้กับพี่น้องประชาชนมากขึ้น

Q : แล้วการเปิดโซเชียลมีเดียของนายก คาดหวังอะไร?

พุทธิพงษ์ : ท่านนายกบอกกับผมเลยว่า เป้าหมายของเราคือการสื่อสารกับประชาชน เราไม่ได้มองที่ตัวเลขของคนฟอลโลว์ หรือว่าไปเทียบเคียงกับอดีตนายกรัฐมนตรีอีกหลายๆ คนที่อาจจะมีการพูดถึงว่า มียอดคนฟอลโลว์เท่านั้นเท่านี้

“เป้าหมายของท่านนายกคือว่าการเปิดช่องทางสื่อสารและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน แม้ว่าจะเป็น 1 ราย, 2 ราย, 10 ราย หรือ 20 ราย นั่นคือ ‘ผลสัมฤทธิ์’ ว่าเราได้ทำสำเร็จแล้ว!

 Q : ย้อนกลับมาคุยเรื่องคุณพุทธิพงษ์บ้าง ทำไมถึงกลับเข้ามารับตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้ง วางอนาคตทางการเมืองของตัวเองไว้อย่างไร

พุทธิพงษ์ : ตัวผมเองผมเดินในเส้นทางการเมืองมา 18 ปี และผมได้หยุดพักเส้นทางการเมืองของผมช่วง 3 - 4 ปีที่ผ่านมา หยุดสนิทเลย กลับไปอยู่กับครอบครัว กลับไปใช้ชีวิตเป็นพี่น้องประชาชนธรรมดา ไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมอะไรกับการเมืองในพรรคไหนเลย วันนี้ที่กลับมาก็มีอยู่ 2 – 3 เรื่องเท่านั้นเอง ก็คือมีความรู้สึกว่า เราสามารถเอาประสบการณ์ที่เราเคยเป็น ส.ส. มาช่วยในการสื่อสาร เป็นคนกลาง เป็นประโยชน์ระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ซึ่งต้องทำงานหนักมาก ทำอย่างไรให้เราเป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุด นี่คือสิ่งที่ผมคิดแล้วก็ตัดสินใจที่มาอยู่กับรัฐบาลชุดนี้

 Q : คุณพุทธิพงษ์ วางอนาคตทางการเมืองของตัวเองไว้อย่างไร

พุทธิพงษ์ : ส่วนตัวผมเองก็ต้องดูว่า บ้านเมืองอยากได้อะไร ประชาชนอยากได้อะไร เรามีโอกาส มีที่ให้เราไปทำไหม ถ้ามีแล้วเป็นประโยชน์ผมก็ทำ

มองการเมืองแบบ ‘บี-พุทธิพงษ์’ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ คิดอะไรอยู่?

Q : มองทิศทางการเมืองจากนี้อย่างไร

พุทธิพงษ์ : ผมว่าไม่มีใครทราบว่าการเมืองข้างหน้าจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดและติดตามการเมืองตลอดก็คือ วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนหมดแล้ว รัฐธรรมนูญก็เปลี่ยน วิธีการเลือกตั้งก็เปลี่ยน กฎกติกามีการร่างใหม่ หรือแม้กระทั่งพี่น้องประชาชน มิติการมองการเมืองก็เปลี่ยนไป

ผมมองว่า การเมืองในอนาคตจะเป็นการเมืองของคนรุ่นใหม่ เป็นโอกาสที่พี่น้องประชาชนจะได้ปรับเปลี่ยนการเมืองไปสู่ความตั้งใจของประชาชนอย่างแท้จริง

เหตุผลที่พูดอย่างนี้เพราะว่า ส่วนใหญ่การเขียนรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา คนทั่วไปจะเข้าสู่เส้นทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องง่าย มีพรรคอยู่ไม่กี่พรรค แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเปิดกว้างให้คนมีโอกาสเข้ามาในเส้นทางการเมืองได้ง่ายขึ้น

และด้วยสถานการณ์ทั่วโลก เราเริ่มเห็นนักการเมืองรุ่นใหม่ๆ เข้ามาสู่ตำแหน่งหรือเส้นทางการเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะแคนาดา ฝรั่งเศส  ผมจึงคิดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นจุดเปลี่ยนของคนไทย คนรุ่นใหม่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานการเมืองมากขึ้น

แต่สุดท้ายแล้ว ก็ต้องเรียนว่า “สาระสำคัญที่สุดก็คือ ประเทศไทยต้องสงบ เราต้องอยู่ด้วยความรัก สามัคคี ถ้าประเทศไทยไม่สงบ ปัญหาต่างๆ ก็ตกไป เพราะเราก็ต้องดูแลเรื่องความสงบก่อน ซึ่ง 4 ปีที่ผ่านมา ผมมองว่าบ้านเมืองสงบสุขดีมาก นั่นทำให้ทุกคนเริ่มเอาปัญหาเรื่องอื่นๆขึ้นมาพูด มาแก้ไขกัน”

มองการเมืองแบบ ‘บี-พุทธิพงษ์’ โฆษกรัฐบาลคนใหม่ คิดอะไรอยู่?

 

related