ได้ฤกษ์วางผังสร้างศาลา-อนุสาวรีย์ “น.ต.สมาน” รำลึกเหตุการณ์ถ้ำหลวง

(1 ส.ค. 61) นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช พร้อมด้วย อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ พร้อมศิลปินชาวเชียงราย เดินทางไป วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน ต.โป่งผา อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประกอบพิธีขอขมาเพื่อขอก่อสร้างศาลาพิพิธภัณฑ์รำลึกถึงเหตุการณ์ช่วยเหลือทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาดามี และวางรูปปั้นนาวาตรี สมาน กุนัน หรือจ่าแซม ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ช่วยเหลือดังกล่าว

โดยอาจารย์เฉลิมชัยและเจ้าหน้าที่ระดับสูงได้ร่วมกันนำดอกไม้ธูปเทียนกล่าวขอขมาเพื่อก่อสร้างสิ่งต่างๆ ดังกล่าวอย่างเรียบง่าย ก่อนจะจัดวางผังด้วยปักไม้และขึงด้วยเชือกตามรูปแบบหรือแปลนแนวราบของอาคารก่อสร้างเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า 2 อาคาร คือ อาคารหลักและห้องน้ำด้านหลัง อีกทั้งตรงจุดที่ตั้งรูปปั้นจ่าแซมด้วย ก่อนจะโปรยปูนขาวตามจุดเสาก่อสร้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้คณะช่างได้เข้าไปก่อสร้างตามขั้นตอนต่อไป ซึ่งหลังจากนี้จะปิดตรงถนนทางเข้าซึ่งห่างจากปากถ้ำประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่และทีมช่างสามารถเข้าไปก่อสร้างได้สะดวก

อาจารย์เฉลิมชัย กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากที่ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ กรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ช่วยเหลือเร่งรัดให้สามารถเข้ามาก่อสร้างอาคารและงานปฏิมากรรมภายในบริเวณถ้ำหลวงได้อย่างรวดเร็ว โดยอาคารจะจัดแสดงภาพวาดความยาวประมาณ 13 เมตรกว้าง 3 เมตรที่ทางศิลปินได้วางเสร็จเรียบร้อยไปแล้ว และจะมีการวาดภาพใบอื่นเพิ่มเติมอีก ขณะเดียวกันจะขอรูปถ่ายของเจ้าหน้าที่ช่วงปฏิบัติงานเพื่อเล่าเรื่องราวการช่วยเหลือทีมหมูป่าทั้ง 13 คนให้ผู้คนทั่วโลกได้ชมได้อย่างสมบูรณ์แบบต่อไป  สำหรับรูปปั้นของจ่าแซมที่จะนำไปตั้งด้านหน้าศาลานั้น ขณะนี้ดำเนินการปั้นไปแล้วประมาณร้อยละ 40

ด้าน อาจารย์สมลักษณ์ กล่าวว่าอาคารพิพิธภัณฑ์จะกว้าง 10 เมตร ยาว 20 เมตร รูปปั้นจ่าแซมด้านหน้าจะตั้งห่างออกไปประมาณ 5 เมตร ส่วนห้องน้ำด้านหลังยาว 16 เมตร กว้าง 6 เมตร รูปทรงเป็นศิลปะล้านนาประยุกติ์หรือศิลปะร่วมสมัยเพราะพวกเราต่างเป็นศิลปินร่วมสมัย คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 4-5 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ โดยจะเป็นอาคารและปฏิมากรรมที่เข้ากับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้อย่างลงตัว

ขณะที่นายธัญญา ได้ระบุถึงการพัฒนาพื้นที่ว่า เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นของกรมป่าไม้แต่ทางกรมอุทยานแห่งชาติฯ ดูแลอยู่จึงได้หารือกับอธิบดีกรมป่าไม้ซึ่งได้รับการอนุญาตแล้ว และขั้นตอนการก่อสร้างทุกอย่างถือว่าถูกต้องตามขั้นตอนทั้งหมด ส่วนการผลักดันให้เป็นอุทยานแห่งชาตินั้นจำเป็นต้องให้ประชาชนในพื้นที่มีความต้องการและเสนอขึ้นไปก่อน ซึ่งปัจจุบันยังไม่พบมีการเสนอเรื่องไปยังกรมอุทยานแห่งชาติฯ ซึ่งเรื่องนี้ทางอาจารย์เฉลิมชัยรับปากว่าจะเข้าไปช่วยพูดคุยกับชาวบ้านในท้องถิ่นเพื่อเห็นถึงประโยชน์ต่อไป เนื่องจากการยกฐานเป็นอุทยานแห่งชาติจะสามารถบริหารจัดการ จัดหารายได้และพัฒนาชุมชนได้ ซึ่งแตกต่างจากการเป็นวนอุทยานฯ ที่มีข้อจำกัดมากกว่าต่อไป