svasdssvasds

ปี’ 67 ปีทองพลังงานสะอาด โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์-พลังงานลม โตกระฉูด

ปี’ 67 ปีทองพลังงานสะอาด โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์-พลังงานลม โตกระฉูด

พามาเกาะเทรนด์ของพลังงานปีปี’67 ที่หลายฝ่ายเชื่อว่าจะเป็นปีทองพลังงานสะอาด โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์-พลังงานลม จะโตกระฉูด ถึง19-24% รับเทรนด์โลกสีเขียว

แน่นอนว่าปีหน้า ปี2567 อีกหนึ่งเทรนด์มาแรงนั้นก็ คือ เรื่องของพลังงานสะอาด ที่ทั่วโลก และไทยกำลังให้ความสนใจ โดยศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เผยแพร่บทวิเคราะห์ เรื่อง โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมปี 2567 เติบโตตามกระแสการใช้ไฟฟ้าสีเขียว ท่ามกลางแรงหนุนจากต้นทุนโรงไฟฟ้าที่ต่ำลง ว่า การผลิตไฟฟ้าหมุนเวียนจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar) และพลังงานลม (Wind) ปี 2567 มีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการใช้ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ผลจากเป้าหมาย Net zero pathway ที่มีร่วมกันของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย นอกจากนี้ยังหนุนให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเติบโตตาม เช่น แผงโซลาร์และอุปกรณ์กังหันลม รวมถึงโครงข่ายไฟฟ้า

 

ทั้งนี้มองว่าตลาดการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ของทั่วโลกยังคงเติบโตได้ดีต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2567 ขยายตัว 29% ต่อปี และทยอยเพิ่มบทบาทในการผลิตไฟฟ้าของโลก ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่

1. การลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากพลังงาน Fossil ที่ราคามีความผันผวน โดยเฉพาะในแถบแอฟริกา

2. แผนการเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพื่อบรรลุเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเกือบ 50% ภายในปี 2571 และเข้าสู่ Net zero ภายในปี 2593

3. การอุดหนุนของภาครัฐเพื่อสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้เอง (Self-consumption)

และ 4. ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ที่ต่ำเมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานอื่น ๆ ผนวกกับต้นทุนของแบตเตอรี่ ESS ที่ทยอยปรับตัวลดลง ช่วยลดข้อจำกัดในการใช้ไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ลง

พลังงานแสงอาทิตย์มาแรง

 

สำหรับแนวโน้มการเติบโตข้างต้น เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยเข้าไปลงทุนในตลาด PPA ในต่างประเทศ เช่น ตลาดอินเดียและบางประเทศในแอฟริกา ที่การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์เติบโตดีในอีก 5 ปีข้างหน้า ท่ามกลางศักยภาพของพื้นที่เหมาะสม และนโยบายสนับสนุนตลาด PPA (พิจารณาจาก PPA policy score ที่จัดทำโดย EY[1])

ในส่วนของตลาดไทย การผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากแรงหนุนของตลาดที่ขายไฟให้ลูกค้าโดยตรง (Private PPA) และ Self consumption (ทั้งสองตลาดมีโอกาสเติบโตเร่งขึ้นอีกมาก หากภาครัฐให้การสนับสนุน เช่น นโยบาย TPA  อย่างไรก็ตามตลาดที่ขายไฟให้ภาครัฐยังมีโอกาสเติบโต ทั้งจากโครงการที่อยู่ระหว่างเตรียมเปิดประมูลเฟส 2 ราว 2.6 GW และแผน PDP ใหม่ที่คาดว่าอาจประกาศได้ในปี 2567 ซึ่งเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในสิ้นปี 2580 อาจจะเพิ่มขึ้นจากแผน PDP2018Rev1 กว่า 200% ความต้องการใช้แผงโซลาร์ทั่วโลกเติบโตได้ดีตามตลาดการผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ โดยในปี 2567 ขยายตัวราว 24%YOY และขยายตัวได้ต่อเนื่องในระยะกลาง โดยเฉพาะตลาด Self Consumption ที่กำลังเพิ่มบทบาทมากขึ้นและขยายตัวได้ดีกว่าตลาดโรงไฟฟ้า

 

อย่างไรก็ตามแนวโน้มราคาแผงโซลาร์ในปี 2567 คาดว่ายังคงลดลงต่อเนื่อง เป็นผลมาจาก

1. ราคา Polysilicon ที่ลดลงจากกำลังการผลิตต้นทุนต่ำที่มีมากขึ้น

2. การแข่งขันที่มากขึ้นจากผู้เล่นรายใหญ่ที่กำลังกินส่วนแบ่งการตลาด

และ 3. การเข้าสู่ช่วงกลางของเทคโนโลยี (ช่วงที่การผลิตขนาดใหญ่ หรือ Mass-production level) ทำให้ต้นทุนต่อ Watt ต่ำลง ในระยะกลาง คาดว่าราคาจะลดลงต่อเนื่อง แต่ในอัตราที่ชะลอลง ตามกำลังการผลิตที่เติบโตในอัตราที่ชะลอลง ผนวกกับแนวโน้มนโยบายกีดกันการค้าที่มีมากขึ้น

 สำหรับความท้าทายของภาพรวมธุรกิจแผงโซลาร์

1. นโยบายกีดกันทางการค้าที่อาจมีมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ใช้ภาษีนำเข้าเพื่อลดการเข้ามาแข่งขันของแผงโซลาร์นำเข้าจากจีนหรือจากประเทศที่จีนใช้เป็นฐานการผลิต เช่น ไทย และนำมาสู่การลงทุนและการจ้างงานในสหรัฐฯ ที่มากขึ้น

 2. ข้อจำกัดบางประการที่อาจส่งผลให้ตลาดเติบโตได้จำกัด เช่น Grid bottleneck, การขาดแคลนแรงงานและพื้นที่สำหรับติดตั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ราคาที่ดินอยู่ในระดับสูง (เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และยุโรป)

 3. การแข่งขันที่ยังมีแนวโน้มรุนแรงต่อเนื่อง (ทำให้ผู้ผลิตที่บริหารต้นทุนได้ดีกว่า ผนวกกับการกระจายตัวตลาดผู้ซื้อที่มากกว่าจะช่วยลดความเสี่ยงลงได้)

ขณะที่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมมีการเติบโตได้ดีที่ 14%YOY ในปี 2567 และขยายตัวต่อเนื่องที่ราว 28% ในปี 2568-2570 ตามนโยบายการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนทั่วโลก ทำให้ธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม รวมไปถึง Supply chain ของอุตสาหกรรมมีการเติบโตตามไปด้วย อาทิ การลงทุนใหม่ในการสร้างโรงงานผลิตกังหันลม (Blade) และห้องขับเคลื่อนกังหันลม ในประเทศจีนของทั้ง On-shore wind และ Off-shore wind โดยคาดว่าจะมีการลงทุนในโรงงานใหม่โดยรวมมากถึง 1.08 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2569 และมากถึง 1.47 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573

 

ขณะเดียวกันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมก็มีแนวโน้มลดลงซึ่งจะช่วยหนุนให้การลงทุนในโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมมีโอกาสเกิดขึ้นได้มาก โดยปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการไฟฟ้าพลังงานลมทั่วโลก ทั้งที่ก่อสร้างรวมมากกว่า 5,000 โครงการและแผนโครงการใหม่อีกมากกว่า 1,700 โครงการ

สำหรับการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนที่เติบโตสูง มีความจำเป็นต้องมีโครงข่ายไฟฟ้า ที่สามารถรองรับการเติบโตของไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ดังนั้น การพัฒนา Grids จึงเป็นส่วนสำคัญที่ต้องพร้อมรองรับกับตลาดพลังงานหมุนเวียนทั้งในแง่ของโครงข่ายเชื่อมต่อ และการกระจายไฟฟ้า (Distribution) ซึ่งเม็ดเงินลงทุนเพื่อก่อสร้างโครงข่ายไฟฟ้าของโลกจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 6-10% ในช่วง 2566-2573 ซึ่งเป็นหนึ่งในโอกาสสำหรับผู้ประกอบการไทยที่จะใช้ประโยชน์จากการเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ หรือ Connection ที่มีอยู่แล้วในต่างประเทศ

 ทั้งนี้ในปัจจุบันเอกชนเริ่มนำ RECs มาใช้เพื่อช่วยลดการปล่อยคาร์บอน (Carbon emission) ใน Scope II อย่างแพร่หลาย และมีแนวโน้มเติบโตมากกว่า 100% ในช่วงปี 2566-2567 สำหรับ Carbon credit ที่สามารถใช้ลด Emission ใน scope I,II และ III ก็มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน โดยเฉพาะในไทยที่เริ่มมีการซื้อขายในตลาดเสรี และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นถึง 103%(CAGR) ในปี 2559-2566

ในขณะที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า จะดำเนินยุทธศาสตร์ชาติเป็นเครื่องมือพัฒนาได้เป็นรูปธรรม สอดคล้องบริบทการพัฒนาที่เปลี่ยนรวดเร็วในปัจจุบัน อาทิ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) , Cloud computing  , พลังงานสะอาด และภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมีผลต่อการเคลื่อนย้ายแรงงานคุณภาพ 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

related