อุกอาจ! วัยรุ่นยิงขู่คู่อริกลาง รพ.ตะลุมบอนเจ็บ 3 ราย
ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
วัยรุ่นสมุทรสาคร สุดอุกอาจ ชักปืนยิงขู่คู่อริกลางโรงพยาบาล พบ 3 คน ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ วัยรุ่นดอยเต่า 100 คน ตะลุมบอนกลางโรงพยาบาลเหมือนกัน
เสียงปืนดังรัวต่อเนื่อง คล้ายกับภาพยนตร์สงครามในฮอลีวูด ที่เห็นในคลิปวิดีโอนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลกระทุ่มแบน เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังวัยรุ่นคู่อริ เข้ามาก่อเหตุรุมทำร้ายกันในโรงพยาบาล ก่อนเสียงปืนจะดังขึ้น หลังเกิดเหตุตำรวจภูธรกระทุ่มแบน เข้าตรวจสอบ พบปลอกกระสุนปืน ขนาด 9 ม.ม.ตกอยู่ 12 ปลอก และมีผู้บาดเจ็บ 3 คน คือ นายสุรเชษฐ์ อนันต์ชัยศิลป์ อายุ 26 ปี ถูกของแข็งตีเข้าที่ศรีษะ นายเนวิน แป้นเงิน อายุ 24 ปี บาดเจ็บเล็กน้อย และนายธีรยุทธ เชื้อแพ่ง อายุ 26 ปี บาดเจ็บเล็กน้อย
ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุมีวัยรุ่น 3-4 คน พาเพื่อนที่ถูกทำร้ายร่างกายมาที่โรงพยาบาล โดยถูกนำตัวไปห้องฉุกเฉิน จากนั้นมีวัยรุ่นคู่อรินับสิบคน เข้ามาตะลุมบอนกับวัยรุ่นกลุ่มแรก บริเวณห้องฉุกเฉิน หนึ่งในนั้นใช้ไม้เบสบอล ทุบทำร้ายวัยรุ่นกลุ่มแรก ท่ามกลางผู้ป่วยหลายคน ส่วนอีกคนใช้ปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า จนผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องคลานเข้าไปหลบใต้เตียงผู้ป่วย ก่อนทั้งหมดจะขึ้นรถกระบะสีขาว หลบหนีไป
พันตำรวจเอก-มานะ อินพิทักษ์ รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า วัยรุ่นทั้ง 2 กลุ่ม มีการทะเลาะวิวาทกันมาก่อน หลังจากนั้นมีคนกลางเข้ามาพูดคุยให้ แต่เมื่อถึงวันนัดเจอกัน เพื่อเคลียร์ปัญหา ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง กลับทะเลาะวิวาทกันอีก และตามไปรุมทำร้ายที่โรงพยาบาล เบื้องต้นได้รวบรวมหลักฐานจากกล้องวงจรปิด เชื่อว่า จะจับกุมทั้งหมดได้ภายใน 1-2 วันนี้
ส่วนอีกคดีเกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากวัยรุ่นชายและหญิง จำนวนกว่า 100 คน ยกพวกตะลุมบอนกันที่โรงพยาบาลดอยเต่า จนแพทย์ พยาบาล และผู้ป่วยแตกตื่น โดยทราบว่า วัยรุ่นทั้ง 2 กลุ่ม ทะเลาะวิวาทกันมาก่อน ภายในงานประเพณีลอยกระทง ที่จัดขึ้นเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 5 พฤศจิกายน ก่อนวัยรุ่นจะพาเพื่อนที่บาดเจ็บไปที่โรงพยาบาล แต่คู่อรินำพวกตามไปตะลุมบอนกัน
ทั้งนี้มีรายงานว่า กลุ่มผู้เสียหาย เข้าพบว่าที่ร้อยตรี-บำรุงเกียรติ วินัยพานิช นายอำเภอดอยเต่า เพื่อขอความเป็นธรรม และขอให้นายอำเภอมาดูแลคดีด้วยตัวเอง เนื่องจากฝ่ายผู้ก่อเหตุนั้น เป็นลูกผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
