ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
ประเภทของคนที่ไม่อยากเจอที่สุด คือ คนที่เดาอารมณ์ยาก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย วันนี้คุยกันดีๆ พรุ่งนี้โดนตะคอกใส่ซะแล้ว ถึงขั้นนั่งวิตกจริตเองว่า เราไปทำอะไรให้เขาโมโห แถมยังเดาไม่ออกด้วยว่าพรุ่งนี้จะมาไม้ไหน หลายคนมองว่าอารมณ์แปรปรวนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ความจริงแล้ว คนที่มีอารมณ์แปรปรวนอยู่บ่อยๆ อาจเข้าข่ายคนที่เป็นโรคทางด้านอารมณ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายมาก!
เรากำลังพูดถึง "โรคไบโพลา" สองอารมณ์ในคนเดียว
เชื่อหรือไม่ ในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคนี้ หลายแสนคนแล้ว ลักษณะอาการที่อธิบายได้ง่ายที่สุดของโรคนี้คือ เป็นคนที่อารมณ์แปรปรวนขั้นหนัก ระหว่างอารมณ์เศร้าสุดขั้ว กับอารมณ์ร่าเริงสุดขีด คนที่อยู่ใกล้ผู้ที่ป่วยโรคนี้ มักจะคาดเดาอาการไม่ค่อยถูก แต่ถึงแม้จะน่ากลัวขนาดไหน ก็ไม่ควรทอดทิ้งคนกลุ่มนี้ เพราะอาจจะยิ่งทำให้อารมณ์แปรปรวนมากขึ้นจนถึงขั้นฆ่าตัวตายได้
สาเหตุของโรคนี้
โรคไบโพลาร์ เกิดจากสารสื่อประสาทในสมองผิดปกติ รวมไปถึงสาเหตุด้านพันธุกรรม ซึ่งถ้าพ่อแม่เป็นโรคนี้มาก่อนแล้ว ลูกก็มีโอกาสเป็นได้มากกว่าคนอื่น นอกจากนี้สภาพแวดล้อมต่างๆ ก็มีผลด้วย ไม่ว่าจะเป็นความเครียดจากการทำงาน การเรียน ปัญหาครอบครัวต่างๆ
โรคไบโพลาร์ จะแบ่งได้ตามนี้
แต่ไม่เหมือนกันนะคะ ต้องแยกระหว่างคนที่เป็นโรคซึมเศร้ากับภาวะซึมเศร้าในไบโพลาร์ เพราะอาการของคนสองกลุ่มแม้จะคล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน ซึ่งจะมีผลต่อการรักษาด้วย ความแตกต่างภาวะซึมเศร้าในไบโพลาร์ต่างจากโรคซึมเศร้า ก็คือ ขาดสมาธิ คิดอ่านช้าลง มองตัวเองไร้ค่า หวาดระแวงคนอื่น คิดว่าไม่มีใครเป็นมิตรกับตัวเอง และอาจจะมีปัญหาด้านพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงกับสารเสพติดและพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย
แล้วแบบไหนถึงเรียกว่า เข้าข่ายไบโพลาร์
สังเกตได้จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนบ่อยๆ เช่น จากที่เคยเรียบร้อย กลายเป็นคนเข้าสังคมเก่ง แต่งตัวจัดจ้าน ขี้โมโห หรือ จากที่เคยเป็นคนร่าเริง มนุษยสัมพันธ์ดี กลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ เหม่อลอย ซึมเศร้า เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ถ้าสังเกตดีๆ ก็จะรู้ได้เลยว่าไม่ใช่ตัวตนของคนคนนั้น โดยผู้ป่วยจะเกิดภาวะใดก่อนก็ได้ และจะเป็นภาวะเดิมติดต่อกันหลายๆ รอบ หรือ สลับกับอีกภาวะหนึ่งก็ได้เช่นกัน หากไม่มั่นใจว่าตัวเองเข้าข่ายโรคไบโพลาร์หรือเปล่า แนะนำให้ไปพบแพทย์
แม้ว่าไบโพลาร์จะดูเป็นโรคทางด้านอารมณ์และจิตใจ แต่ก็สามารถรักษาได้ โดยทั่วไปจะรักษาด้วยการใช้ยา มียา 3 กลุ่ม คือ กลุ่มยาควบคุมอารมณ์ (mood stabilizers), ยาแก้โรคจิต (antipsychotics) และยาแก้โรคซึมเศร้า (antidepressants) เพื่อควบคุมอาการของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ซึ่งจะต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้จะมียารักษา แต่สิ่งที่สำคัญและดีกว่ายาก็คือ "ครอบครัว" ต้องช่วยกันดูแลด้านจิตใจ เข้าใจว่าเขาป่วย ไม่ใช่คนหัวดื้อหรือก้าวร้าวจากนิสัย ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น และช่วยให้กำลังใจ ผู้ป่วยไบโพลาร์ก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ส่วนผู้ป่วยเองก็ต้องปรับพฤติกรรมตัวเอง อย่างการนอนหลับให้เพียงพอ การควบคุมความเครียด
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
www.bangkokhospital.com/th/centers-and-clinics/shutdown_bipolar/,
www.manarom.com/article-detail.php?id=94,
www.somdet.go.th/Knowledge_(saranarue)/7.php,
http://edition.cnn.com/2011/HEALTH/03/07/US.highest.bipolar.rates/,
http://blogs.dnalc.org/tag/bipolar-disorder/,
http://depressivedisorder.blogspot.com/2010/03/bipolar-disorder.html,
http://icarencure.com/bipolar-disorder-and-its-symptoms/