SHORT CUT
สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ ผ่านขั้นตอนสำคัญในการพิจารณากฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัล 3 ฉบับ หลัง "โดนัลด์ ทรัมป์" ช่วยผลักดัน ชี้ชะตา Stablecoin ชวนจับตาดูอนาคต "เงินดิจิทัล"
"สกุลเงินดิจิทัล" หรือ Stablecoin จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ได้อนุมัติกฎหมายฉบับแรกสำหรับ "คริปโตเคอร์เรนซี" ซึ่งจะทำให้มีความน่าเชื่อถือและน่าลงทุนมากขึ้น
ความเคลื่อนไหวนี้ ได้รับแรงผลักดันจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้ร่างกฎหมายที่เคยติดขัดสามารถเดินหน้าต่อไปได้ โดยมี 3 เป้าหมายหลักที่อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการเงินดิจิทัลไปตลอดกาล
1.เปลี่ยนเงินดิจิทัล ให้มีเสถียรภาพเหมือนเงินจริง
"เงินดอลลาร์ในรูปแบบดิจิทัล" ที่มีมูลค่าคงที่ 1 ดอลลาร์เสมอ ไม่ผันผวนขึ้นลงเหมือนราคาหุ้นหรือบิตคอยน์ เงินดิจิทัลประเภทนี้เรียกว่า "Stablecoin"
กฎหมายนี้จะเข้ามาดูแลให้ Stablecoin มีความน่าเชื่อถือสูงและมีเงินดอลลาร์ค้ำประกันอยู่จริง ทำให้การโอนเงินหรือใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัลมีความปลอดภัย รวดเร็ว และมั่นคงเหมือนใช้เงินปกติในธนาคาร
2.กำหนดผู้ดูแลและกฎเกณฑ์ให้ชัดเจน
ที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจนว่าหน่วยงานไหนของรัฐต้องเข้ามาดูแลเงินดิจิทัลแต่ละประเภท ทำให้เกิดความสับสน
กฎหมายนี้จะมาขีดเส้นแบ่งให้ชัดเจนว่า "ใครจะเป็นผู้ดูแล" และ "จะใช้กฎระเบียบแบบใด" กับเงินดิจิทัลแต่ละรูปแบบ เปรียบเสมือนการมีผู้จัดการที่คอยสอดส่องดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปตามกติกา สร้างความปลอดภัยและโปร่งใสให้กับผู้ใช้งานและนักลงทุน
3.ยับยั้งแนวคิด "ดอลลาร์ดิจิทัล"
มีการถกเถียงว่าธนาคารกลางของสหรัฐฯ ควรจะสร้าง "เงินดอลลาร์ดิจิทัล" ของตัวเองขึ้นมาหรือไม่
มีฝ่ายที่กังวลว่าหากรัฐบาลเป็นเจ้าของเงินดิจิทัลโดยตรง อาจทำให้รัฐบาลเห็นข้อมูลการใช้จ่ายเงินของประชาชนทุกคน ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัว จึงมีความพยายามออกกฎหมายเพื่อ "ยับยั้ง" แนวคิดนี้ไว้ก่อน เพื่อให้มีการศึกษาอย่างรอบคอบถึงผลดีผลเสีย
การพิจารณากฎหมายทั้งสามฉบับนี้ คือก้าวแรกที่สำคัญอย่างยิ่งในการนำเงินดิจิทัลเข้ามาอยู่ในระบบที่ถูกต้อง มีกฎเกณฑ์รองรับ ซึ่งจะส่งผลให้เทคโนโลยีทางการเงินของโลกพัฒนาไปอีกระดับ
ล่าสุด ธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้เริ่มขยับตัวเพื่อเข้าสู่โลกของเงินดิจิทัลอย่างจริงจัง
โดย Bank of America หนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ ได้ออกมาเปิดเผยว่ากำลังพิจารณาและคาดการณ์ที่จะเปิดตัว Stablecoin หรือ "เงินดอลลาร์ดิจิทัล" ของตัวเอง
ขณะที่ Morgan Stanley ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสถาบันการเงินชั้นนำ ก็กำลังศึกษาแนวทางการนำ Stablecoin มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในระบบของธนาคารเช่นกัน
การเคลื่อนไหวของสถาบันการเงินระดับโลกเหล่านี้ เป็นการยืนยันว่าการที่ภาครัฐเข้ามาสร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน ได้ช่วย "ปลดล็อกความเชื่อมั่น" และทำให้ธนาคารแบบดั้งเดิมที่เน้นความปลอดภัยสูงสุด กล้าที่จะเข้ามาในโลกของ "สินทรัพย์ดิจิทัล" มากขึ้น
นี่คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่า อนาคตที่ "เงินดิจิทัล" จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายและปลอดภัยในระบบการเงินหลัก เคียงข้างกับเงินแบบเดิมนั้น "อาจจะมาถึงเร็วกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้"