SHORT CUT
AMD จับมือ OpenAI ในข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์เพื่อจัดหาชิป AI หลายแสนตัว ส่งผลให้หุ้นพุ่งสูงสุดในรอบ 9 ปี และท้าชิงบัลลังก์ผู้นำตลาดชิป AI โดยตรงอย่าง NVIDIA
วงการเทคโนโลยีต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อ AMD ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ ประกาศบรรลุข้อตกลงครั้งประวัติศาสตร์กับ OpenAI ผู้นำด้านปัญญาประดิษฐ์และผู้สร้าง ChatGPT ในการจัดหาชิป AI เป็นระยะเวลาหลายปี
ข้อตกลงดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นของ AMD พุ่งสูงขึ้นกว่า 34% ในวันเดียว ถือเป็นการเติบโตรายวันที่สูงที่สุดในรอบกว่า 9 ปี และเพิ่มมูลค่าตลาดให้กับบริษัทราว 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดีลครั้งนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความต้องการหน่วยประมวลผลประสิทธิภาพสูงมหาศาลในอุตสาหกรรม AI แต่ยังเป็นการประกาศศักดาของ AMD ในฐานะคู่แข่งคนสำคัญของ NVIDIA ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอยู่ในปัจจุบัน
ภายใต้ข้อตกลงนี้ AMD จะเริ่มจัดส่งชิป AI หลายแสนตัว ซึ่งรวมถึงชิปรุ่นเรือธงที่กำลังจะมาถึงอย่าง MI450 series ให้กับ OpenAI ตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2026 เป็นต้นไป
โดย AMD คาดการณ์ว่าข้อตกลงนี้จะสร้างรายได้หลายหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี และเมื่อรวมกับลูกค้ารายอื่นที่ได้รับผลกระทบจากดีลนี้ อาจสร้างรายได้ใหม่ให้บริษัทมากกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ ภายใน 4 ปี
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในข้อตกลงนี้คือ AMD ได้ออก Warrant ที่อนุญาตให้ OpenAI สามารถเข้าซื้อหุ้นของ AMD ได้มากถึง 160 ล้านหุ้น (คิดเป็นสัดส่วนราว 10%) ในราคาเพียงหุ้นละ 1 เซนต์
โดยสิทธิ์ดังกล่าวจะทยอยปลดล็อกตามเงื่อนไขความสำเร็จที่ตกลงกันไว้ ซึ่งรวมถึงเป้าหมายราคาหุ้นของ AMD ที่ต้องไปถึง 600 ดอลลาร์ต่อหุ้นในเงื่อนไขสุดท้าย
นักวิเคราะห์มองว่าดีลนี้เป็นการแสดงความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ต่อเทคโนโลยีชิป AI ของ AMD แม้จะยังไม่สามารถโค่นล้มบัลลังก์ของ NVIDIA ได้ในทันที แต่ก็ถือเป็นการท้าทายโดยตรง โครงสร้างของข้อตกลงยังแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับดีลของ NVIDIA ที่ประกาศลงทุนใน OpenAI มูลค่า 1 แสนล้านดอลลาร์เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
การที่ OpenAI ถือ Warrant ใน AMD อาจทำให้พวกเขามีสิทธิ์มีเสียงและอิทธิพลต่อกลยุทธ์ของบริษัทในอนาคต ซึ่งต่างจากสถานะ "ลูกค้า" ที่มีต่อ NVIDIA เพียงอย่างเดียว
ทางด้าน Sam Altman CEO ของ OpenAI กล่าวว่าข้อตกลงนี้จะช่วยให้บริษัทสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ได้เพียงพอต่อความต้องการในอนาคต ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่เคยเปิดเผยว่าต้องการกำลังการประมวลผลรวมถึง 250 กิกะวัตต์ภายในปี 2033
ที่มา : REUTERS