การเป็นองค์กรธรรมาภิบาลหาใช่เป็นแค่องค์กรหากำไรจากการผูกขาด ด้วยการเก็บค่าบริหารแพงในแทบทุกด้านเพราะผู้บริโภคไม่มีทางเลือก หากแต่ต้องมีความโปร่งใสและเป็นธรรมในการดำเนินการทุกเรื่อง ทุกขั้นตอน ฉะนั้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT พึงสำเนียกด้วยว่าสามารถอ้างว่าเป็นองค์กรที่มีธรรมาภิบาล ได้อย่างเต็มปากเต็มคำอย่างที่กล่าวอ้างมาโดยตลอด
คสช.และรัฐบาล ที่มีหัวหน้าชุดเป็นคนเดียวกันคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผู้ที่รับผิดชอบกำกับดูแล AOT ได้ละเลยในการตรวจสอบการทำงานขององค์กรแห่งนี้ในระยะเวลา เกือบ 4 ปีแห่งการคุมอำนาจบริหารบ้านเมืองทั้งที่ กระทรวงการคลังถือหุ้นในบริษัทแห่งนี้ถึง 70% ที่ยังนับว่าเป็นรัฐวิสาหกิจ แม้จะนำไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วก็ตาม
มีองค์กรของรัฐที่เข้าไปทำหน้าที่ตรวจสอบความไม่โปร่งใสในการทำงานขององค์กรแห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการชุดต่างๆ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินหรือสตง. สื่อ และองค์กรเอกชน แต่ไม่ได้สะกิดต่อมความรู้สึกของผู้บริหารรัฐบาลในการเข้ามา take action ต่อความเป็นธรรมาภิบาลเลยแม้แต่น้อยจึงเป็นธรรมดาที่มีเสียงเมาธ์ทั่วไปว่า ผู้บริหารรัฐบาลกับผู้บริหาร AOT “รู้กัน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นร้านค้าปลอดอากรและการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ จนนำไปสู่การตัดสินใจของชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตอนุกรรมาธิการตรวจสอบการทุจริต นำเรื่องไปฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ซึ่งกำลังมีการไต่สวนอยู่ในขณะนี้
ล่าสุดกลุ่มธรรมาภิบาลเครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านทุจริตและคอร์รัปชัน ที่นำโดย วิวัฒน์ สมบัติหลาย ยื่นเรื่องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งคณะกรรมการพิเศษเป็นการเฉพาะมาตรวจสอบการทุจริตใน 5 โครงการมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาทที่ยังไม่รู้ว่าพล.อ. ประยุทธ์ จะรับลูกไว้ตรวจสอบหรือ “เป่าทิ้ง” ข้อเรียกร้องนี้
5 โครงการที่กลุ่มธรรมาภิบาลจี้ให้ นายกรัฐมนตรีเร่งตรวจสอบ คือ 1.โครงการจ้างปรับปรุงสะพานเทียบเครื่องบิน วงเงิน 409 ล้านบาท 2.โครงการจัดจ้างผู้ให้บริการรถเข็นกระเป๋า วงเงิน 886 ล้านบาท
3.โครงการให้สิทธิประกอบกิจการและบริหารอาคารจอดรถ ณ สนามบินดอนเมือง 4.โครงการเช่าเครื่องตรวจวัตถุตามร่างกายของผู้โดยสาร วงเงิน 1,350 ล้านบาท และ 5.โครงการซื้อพร้อมติดตั้งสายพานลำเลียงกระเป๋า วง เงิน 3,700 ล้านบาท
ความจริงหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจและสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ช่อง 19 ได้ทำหน้าที่สื่อมวลชนในการนำเสนอเรื่องความไม่โปร่งใสในองค์กรแห่งนี้มาโดยตลอดและมีมากกว่าที่กลุ่มธรรมาภิบาลยื่นเรื่องให้นายกรัฐมนตรีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ใช้อำนาจที่ยึดมาจากนักการเมืองที่ได้รับฉันทามติจากประชาชน ได้ใช้อำนาจพิเศษสร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้นกับองค์กรแห่งนี้
ถ้าเกิดความโปร่งใสในการดำเนินการ AOT จะสามารถประหยัดวงเงินและสามารถทำกำไรจากการผูกขาดที่นำมาแบ่งให้รัฐ เพื่อนำคืนสู่การพัฒนาประเทศ รวมทั้งการปันส่วนแบ่งให้กับผู้ถือหุ้นได้มากมายกว่านี้ “จงอย่าพอใจแต่เศษเนื้อที่เขาแบ่งให้ และปล่อยให้มีการหาประโยชน์เข้าพกเข้าห่อของพวกเขา”
..............
คอลัมน์ : ที่นี่ไม่มีความลับ /หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ / ฉบับ 3333 ระหว่างวันที่ 21-24 ม.ค.2561
