svasdssvasds

จาตุรนต์ คาดวิกฤตเศรษฐกิจมาเร็ว และร้ายแรงกว่าที่หลายฝ่ายคิด

จาตุรนต์ คาดวิกฤตเศรษฐกิจมาเร็ว และร้ายแรงกว่าที่หลายฝ่ายคิด

จาตุรนต์ ฉายแสง คาดวิกฤตเศรษฐกิจมาเร็ว และร้ายแรงกว่าที่หลายฝ่ายคิด หลังแบงก์ชาติออกคำสั่งห้ามธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผล และห้ามซื้อหุ้นคืน

ธนาคารแห่งประเทศไทย นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang กล่าวถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองในขณะนี้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจมาเร็วและร้ายแรงกว่าที่หลายฝ่ายคิด ขณะที่ระบบโครงสร้างและวัฒนธรรมทางการเมืองกำลังเป็นอุปสรรคและซ้ำเติมให้ปัญหาเลวร้ายลงไปอีก ทำให้ประเทศอยู่ในสภาพที่ไร้อนาคต

การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกคำสั่งห้ามธนาคารพาณิชย์จ่ายเงินปันผลและห้ามซื้อหุ้นคืน สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจต่างๆกำลังประสบความเสียหายเกิดหนี้เสียจำนวนมาก และคงคาดการณ์ด้วยว่าจากนี้ไปจะเกิดความเสียหายเพิ่มขึ้นอีกมาก

ธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่าการออกคำสั่งนี้เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนสูงของสถานการณ์โควิด -19 แต่จริงๆ แล้วการออกคำสั่งนี้กำลังสะท้อนปัญหาเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงที่มีผลต่อประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วหน้ากัน

พลเอกประยุทธ์ประกาศชัยชนะในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยดูแต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ไม่ได้ดูความเสียหายในด้านอื่นๆโดยเฉพาะเศรษฐกิจและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน

ที่ผ่านมาการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มเกินไปโดยไม่คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงของการแพร่ระบาด ไม่เตรียมการดูแลผลกระทบจาการใช้มาตรการ และไม่คิดช่วยประคับประคองธุรกิจให้สามารถจ้างงานหรือรักษากิจการไว้ไม่ให้ล้มไป ประกอบกับการเยียวยาที่ล่าช้า ทำให้เกิดความเสียหายกว่าที่จำเป็น

สิ่งที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้พูดถึงแต่เป็นที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วก็คือ ระบบเศรษฐกิจของไทยปรับตัวช้า เศรษฐกิจไทยพึ่งเศรษฐกิจโลกมาก การส่งออก และการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบรุนแรง แม้ผ่อนคลายมาตรการต่างๆเต็มที่แล้ว ธุรกิจจำนวนมากก็จะไม่สามารถกลับมาประกอบการได้ปัญหาหนี้เสียจึงจะรุนแรงยิ่งขึ้นและเศรษฐกิจจะถดถอยและเกิดความเสียหายรุนแรงกว่าทุกวันนี้อีกมาก

วิกฤตที่ใหญ่หลวงนี้ ต้องการการร่วมมือของทุกฝ่าย เพื่อจะได้ใช้ความรู้ประสบการณ์และความคิดเห็นมาทำให้เกิดนโยบายมาตรการและการวางแผนที่สามารถนำพาประเทศให้พ้นจากวิกฤตได้

ล่าสุดนายกฯ ได้ออกมาพูดถึงความตั้งใจที่จะรับฟังทุกฝ่ายรวมทั้งผู้มีส่วนได้เสีย และจะทำงานในเชิงรุก แต่การออกทีวีพูลในเรื่องสำคัญครั้งนี้กลับไม่ได้รับความสนใจ เพราะแม้จะมีคนร่างมาให้อย่างดี แต่คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่านายกฯจะคิดและทำอย่างที่พูด

มีการต้องถอดรหัสกันไปต่างๆ นานา แต่ส่วนใหญ่ที่ตรงกันคือ ไม่ทำให้เกิดความหวังหรือความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น

สาเหตุที่คำพูดของนายกฯ ไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ และจะไม่มีทางเกิดเป็นจริงได้ เพราะคำพูดนั้นย้อนแย้งกับสิ่งที่พลเอกประยุทธ์ทำมาตลอดหลายปีมานี้ การตัดสินใจสั่งการต่างๆ ทำกันอยู่ในวงจำกัด ไม่เคยรับฟังความเห็นของฝ่ายต่างๆ ยิ่งผู้ที่เห็นต่างด้วยแล้วยิ่งถูกกดถูกห้ามหรือขัดขวางไม่ให้แสดงออก

ในการรับมือกับโควิด-19 รัฐบาลตามหลังปัญหามาตลอด ไม่เคยใส่ใจรับฟังผู้ที่เดือดร้อนเสียหาย ไม่เคยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม ถ้าจะฟังอยู่บ้าง ก็มีแต่เจ้าสัวไม่กี่รายซึ่งก็มักได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษจากรัฐมากกว่าผู้อื่น ไม่เคยมีการร่วมกันวางแผนสำหรับอนาคต นายกฯ ไม่มีความกระตือรือร้นสนใจที่จะฟังควมามเห็นของสภาผู้แทนราษฎร ทั้งยังเห็นการวิพากษ์วิจารณ์และการเสนอแนะในสภาเป็นเรื่องน่ารำคาญและเป็นอุปสรรคต่อการทำงานของรัฐบาล

นอกจากนั้นการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้กลายเป็นเครื่องมือปิดปากประชาชนที่ต้องการแสดงความคิดเห็นถึงขั้นที่มีการใช้ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อจัดการกับผู้ที่เห็นต่าง ไม่ตรงกับข้ออ้างวัตถุประสงค์ของการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สิ่งที่นายกฯพูดทั้ง 3 ข้อจึงเป็นเรื่องย้อนแย้งกับความเป็นจริงที่ไม่มีทางเกิดขึ้นได้

สภาพที่เกิดขึ้นนี้ ถ้าดูผิวเผินก็อาจรู้สึกว่าเป็นเพราะบุคลิกความเคยชินส่วนตัวของพลเอกประยุทธ์ แต่ความจริงแล้ว สภาพเช่นนี้เป็นผลมาจากระบบโครงสร้างและวัฒนธรรมการเมืองของประเทศที่เป็นต้นตอ

ในขณะที่ประเทศไทยกำลังต้องการการปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องการรวบรวมกำลังสติปัญญาของทุกฝ่าย แต่ระบบโครงสร้างทางการเมืองกลับถูกจำกัดวนเวียนกันอยู่ในกลุ่มที่ยึดโยงกับอำนาจและผลประโยชน์

สว. 250 คน นอกจากมีไว้คอยยกมือให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯและคอยเป็นองครักษ์พิทักษ์นายกฯกันแล้ว ก็ไม่เคยทำหน้าที่สะท้อนปัญหาหรือเสนอความเห็นอะไรเลยทั้งๆที่ประเทศอยู่ท่ามกลางวิกฤต

พรรคการเมืองส่วนใหญ่ถูกทำให้อ่อนแอ แตกแยก ขณะที่พรรคพลังประชารัฐกำลังเกิดการแก่งแย่งอำนาจครั้งใหญ่ที่จะส่งผลเสียต่อการบริหารประเทศ

ส่วนวัฒนธรรมทางการเมืองที่นายกฯกับพวกคุ้นเคยคือการสกัดกั้นขัดขวางการแสดงความเห็นที่แตกต่างด้วยการคุกคามและการใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมซึ่งนับวันจะยิ่งสร้างความขัดแย้งให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น เป็นการซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ

การ “รวมไทยสร้างชาติ” จึงเป็นเพียงคำพูดลมๆแล้งๆ ที่ไม่มีความหมายใดๆ

related