แพม เปมิกา มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 แฉ! เบื้องลึกสงครามนางงามมีจริง..?

"ถ้าไม่คาดหวังมง ก็ไม่ต้องมา ไม่ต้องมาตั้งแต่แรกกลับบ้านไปเลย เพราะว่าเอาจริงๆ คือถ้าคุณไม่หวังที่หนึ่งหรือไม่หวังได้ซักตำแหน่งเลย จะมาทำไม"

ใจความหนึ่งของบทสัมภาษณ์ แพม เปมิกา ปาสิเนตตี้ เจ้าของตำแหน่ง มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 ที่เปิดใจกับสปริงนิวส์ในประเด็น เบื้องหลังสงครามนางงามมีจริง..? เรื่องราวที่ไม่เคยมีใครออกมาพูด แต่มันจะถูกเล่าจากปากของ แพม เปมิกา ที่นี่ที่แรก!

มุมมองนางงามก่อนจะเป็น "นางงาม"

"ในมุมของเราคือตอนนั้นเราเป็นเรียกว่าเด็กคนนึงที่ไม่รู้เลยว่าวงการบันเทิงคืออะไร วงการนางงามคืออะไรเราเพียงแต่เห็นโซเชียลมีเดียและเรารู้สึกว่าชีวิตเขาดีจังเลยอ่ะ อันนี้คือสิ่งที่เรารู้สึกจริง ๆ นะ เรารู้สึกว่าถ้าเราเป็นแบบนั้นบ้างมันจะมีความสุขแค่ไหนเนาะ ทุกคนคืออยากได้ความสุขที่หรือว่าอยากทำตามสิ่งที่แบบใฝ่ฝัน อยากจะโด่งดังบ้างอยากจะให้คนรู้จัก อยากให้คนเห็นว่าเรามีศักยภาพอะไรบ้างอะไรแบบนี้ และเรารู้สึกว่าทำไมเราไม่ลองดูก็เลยตัดสินใจไปอันนี้คือในมุมมองแพมตอนนั้น อันนี้คือกำลังยกตัวอย่างความคิด ณ ตอนนั้นเลยเราเห็นและเราอยากเป็น"

"มิตรภาพ" วงการนางงามไม่มีจริง?

"คำว่ามิตรภาพจริงบางส่วนนะคะ ไม่ใช่ว่า 77 คนเพื่อนหมดเลยค่ะ อยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์มันไม่ใช่แบบนั้น เพื่อนมิตรภาพมี แต่เพื่อนได้มิตรภาพก็คือได้สายสะพายมิตรภาพไงแล้วก็ตกรอบ แต่เบื้องหลังมันก็มีบ้างที่ใช้คำว่ามิตรภาพก็ยังไงอยู่ (หัวเราะ) เรียกว่า ๆ แสดงเก่งเราโชคดีหน่อยที่ค่อนข้างจะไปแบบเฟรนด์ลี่ในช่วงแรก อันนี้คืออันนี้ไม่ได้พูดแบบเข้าตัวเองนะ อะไรที่จริงก็พูด อะไรที่ไม่จริงหรือก็ไม่อยากพูด คนที่เป็นธรรมชาติมันดูออกแต่อะไรที่มันนิดนึงอ่ะมันก็รู้สึกได้

ทั้งนี้นางงามสาวยังเสริมอีกว่าที่คนชอบพูดว่ามาไม่ได้คาดหวังอะไร ก็แค่อยากมาหาประสบการณ์ ไม่ได้คาดหวังตำแหน่งไม่ใช่เรื่องจริง "ไม่จริงค่ะ ถ้าไม่คาดหวังมงก็ไม่ต้องมาไม่ต้องมาตั้งแต่แรกกลับบ้านเลย กลับไปเลยถอดมงจังหวัดทิ้งและก็กลับบ้าน เพราะว่าเอาจริง ๆ คือถ้าคุณไม่หวังที่หนึ่งหรือไม่หวังได้ซักตำแหน่งเลยอ่ะคือจะทำไม"

ชีวิตนางงามที่ไม่งดงาม

"ไม่รู้นะว่านางงามคนอื่นอะไรยังไง แต่สิ่งที่เจอมามันค่อนข้างหนัก อาจจะหนักเพราะว่าเราคิดบวกและมาเจอปั้งทีเดียวมันก็เลยทำให้เราแบบยังไง จะทำยังไงดี ตำแหน่งก็ได้ไปแล้ว แล้วเราจะทำยังไงดีให้คนแบบชอบเราจะทำยังไงให้คนไม่ว่าเรา เราก็พยายามทุกวิถีทาง พยายามปรับลุค พยายามทำบางครั้งก็แบบเหนื่อยมาก ลองคิดสภาพนะคะนางงามที่อยู่ในกองประกวดมา 20 วันและต้องตื่นตี 3 แล้วก็ต้องนอนเที่ยงคืน นอนวันละประมาณ 3 ชั่วโมงอย่างต่ำ 3-4 ชั่วโมงมาเป็นระยะเวลา 20 วัน"

"หลังจากนั้นได้ตำแหน่งปุ๊บออกสื่อ ออกอะไรคือหน้าเหนื่อยมาก เบื้องหลังการแต่งหน้าอะไรทั้งหมดคือเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้นบางครั้งสิ่งที่คนติก็เป็นเรื่องจริงก็มีเขาติเพราะเขาหวังดีมี แต่บางคนติเพราะอะไร ติเพราะอยากให้เรารู้สึกแย่หรือติให้เราแบบเอนเนอจี้ลดลงหรืออะไรยังไงอันนี้คือต้องมาดูอีกทีนึง แต่ขอบอกเลยว่าถ้าจะมาเป็นนางงามนะคะ ยังไงก็จะต้องมีคนไม่ชอบเรามันจะต้องมีบางกลุ่มที่ไม่ชอบเราเพราะฉะนั้นรับให้ได้เพราะว่าตัดสินใจก้าวมาในชีวิตนางงามแล้วอ่ะมันก็ต้องมีอะไรที่ไม่งดงามด้วยเช่นเดียวกัน"

สงครามนางงามเรื่องจริงหรือแค่ละคร?  

"แพมว่าตอนประกวดแบบเข้ากองประกวดมันไม่เท่าไหร่หรอก แพมว่าเบื้องหลังน่ากลัว เบื้องหลังนี่คือคนที่ไม่ได้มาประกวดคนที่แบบบูลลี่ คนที่แบบไม่รู้เหมือนกันเพราะว่าไม่เคยไปอยู่ในสังคมตรงนั้น แต่รู้ว่าคือมันมีการบูลลี่ที่ค่อนข้างรุนแรงต่อจิตใจของนางงามแต่ละคนนะจนบางคนถอนตัวเลยก็มีนะ

"โดนด่าจนถอนตัวคิดว่าต้องโดนด่าเยอะไหมคะ โดนด่าจนถึงขั้นว่าแบบโทรหาพ่อแม่เขา เหมือนแบบเขาอินในละครมากแล้วต้องด่าให้ได้ สงครามนางงามที่แพมเจอจากการประกวดนางงามก็คือกันแย่งซีนตอนถ่ายรูป เรายืนอยู่ตรงนี้อยู่ ๆ เดินมาตัดหน้าความรู้สึกลึกๆ ก็คือใครสอนให้ทำแบบนี้"

"เรายืนของเราแล้วเขามายืนตัดหน้าแล้วยืนหน้าตาเฉยมากอยากว่าเหมือนกันแต่ก็ต้องเก็บอาการ เราเห็นในละครแย่งชุดกัน รองเท้า ช่างแต่งหน้า แต่เราเจอเแบบเหมือนบอกเราแบบไม่ต้องใส่ส้นสูงมากไม่ต้องแต่งหน้ามาเยอะนะ แต่พอไปจริงๆ จัดเต็มมาเชียวไหนบอกใส่ส้นแบบสั้นๆ คือใส่สูงมาแบบเนี่ย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรียนรู้จากวงการนี้นะคะคืออย่าเชื่อใครเลยค่ะ ต้องจัดเต็มตลอดเพราะว่ามันไม่ได้ไม่มีคำว่าเฟรนด์ชิพหรือว่ามีคำว่ามิตรภาพเสมอคำว่ามิตรภาพมี"

"แต่ต้องดูด้วยว่าเขามิตรภาพกับเราหรือเปล่าเอาง่ายๆ อย่าโง่ ก็คือเราอย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปเพราะแบบบางครั้งอ่ะทุกคนไม่ได้คิดกับเราแบบนั้น ทุกคนไม่ได้แบบ ทุกคนไม่ได้ชอบเรามีคนที่ชอบและมีคนที่ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นห้ามเชื่อใจทุกคนและก็ควรจะแบบเขาเรียกว่ายังไงคือฟังด้วยเหตุผลและก็ทุกอย่างเอาไปประมวลและก็ต้องดูว่าคน ๆ นี้ เขาเฟรนด์ลี่แล้วเขาจริงใจกับเรามากแค่ไหนแต่สุดท้ายแล้วอยู่ในวงการแบบนี้อย่าเชื่อใจใครเลย"

เจ็บแต่คุ้มค่าเอาชีวิตสู่ "วงการนางงาม"

"คุ้มมากไม่รู้จะบอกว่ายังไงว่ามันคุ้มยังไง เพราะว่าเราแข็งแรงขึ้นแบบมากๆ เรามีประสบการณ์โดยตรงที่จะเอาไปสอนคนได้ และก็ทำให้ตัวเราเองจากที่มองโลกในแง่บวกจนไม่รู้อีโหน่อีเหน่รู้ความเป็นจริงซักที และมันทำให้เราเป็นคนที่แข็งแรงมากและต้องขอบคุณมากจริงๆ ที่แบบตัดสินใจเพราะแบบได้ประสบการณ์อะไรเยอะแยะมากมายและรู้สึกว่าตัวเองโชคดี

"เอาจริง ๆ ยังสวยงามอยู่มันมีความสวยงามคืออะไรรู้ไหม การที่เราประสบความสำเร็จเราได้ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจซักครั้งนึงในชีวิต เราได้สวมมงกุฏประเทศไทยไปประกวดต่อเป็นเวทีโลกไม่ใช่ทุกคน 10 ปีก็มีแค่ 10 คนเองอ่ะ 20 ปีก็แค่ 20 คนแล้วกี่คนที่ต้องประกวดแล้วกว่าจะได้มงกุฏที่ใส่บนหัว ที่ ๆ บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำมันหนักขนาดไหน หนักจนแบบเป็นรอยเลยอันนี้คือสิ่งที่เราต้องแบกรับแล้วเราต้องยอมรับสวยงามค่ะแต่ก็เจ็บ"

เตรียมใจกระแสแอนตี้แฉวงการ “นางงาม”

"ไม่เห็นจะต้องปิดบังเลยทุกวันนี้สังคมมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ด้านขาวอย่างเดียว มันก็ต้องมีด้านอะไรก็ไม่รู้เหมือนกันเพราะฉะนั้นคิดว่าก็ตัดสินใจอยากจะบอกว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ มันก็ไม่ได้พูดให้ใครเสียหายแต่มันมีจริง คิดว่าคนรู้อยู่แล้ว คิดว่าไม่บอกก็รู้ ลึกๆ ก็น่าจะรู้กันแล้วเพราะว่าทุกวันนี้หนังก็สร้างด้วยสถานการณ์ความเป็นจริงทั้งหมดไม่งั้นคำว่าสงครามนางงามคงไม่มีอ่ะ มันมีอยู่แล้วจริงๆ ทุกวงการแหละทุกที่ ทุกสถานที่ค่ะมันต้องมีอะไรแบบนี้และก็วงการนางงามก็เช่นเดียวกัน

"ก็ฝากถึงน้องๆ นางงามนะคะทุกคนเลยที่พูดไปทั้งหมดอ่ะ อย่าเห็นว่าน่ากลัวไม่ไปแล้วไม่ใช่ จะบอกว่าในสิ่งสวยงามมันก็ต้องมีอะไรที่เราต้องรับมือไว้ให้ได้ และก็ต้องแบบๆ ทำใจให้ได้กับบางสิ่งบางอย่างที่แบบเราไม่ได้คาดการณ์มาก่อนว่ามันจะเกิดขึ้นกับเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับทุกสถานการณ์ มุมในแง่ของความสุขมันก็มีในแง่ของความแฮปปี้ที่ฉันได้ประสบความสำเร็จและได้ทำสิ่งนี้ให้มันแบบดีที่สุดมันมีแต่ในสิ่งสวยงามมันก็มีบางมุมที่เจ็บเหมือนกัน"