svasdssvasds

ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯระบุ ไม่ป่วย ไม่ต้องใส่ หน้ากากอนามัย

ผู้เชี่ยวชาญสหรัฐฯระบุ ไม่ป่วย ไม่ต้องใส่ หน้ากากอนามัย

ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขของสหรัฐฯ ระบุ ไม่ป่วย ไม่ต้องใส่ หน้ากากอนามัย เพราะอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ ล้างมือดีที่สุด

ผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันการติดเชื้อ พญ. อีลี เพอเรนเซวิช ศาสตราจารย์ด้านอายุรกรรมและระบาดวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ ระบุว่า แม้ว่าจะมีการระบาดในชุมชุน แต่ก็ไม่ควรใส่ หน้ากากอนามัย ไม่ใช่แค่ไม่จำเป็น แต่ไม่ควรใส่เลยด้วยซ้ำ

“ไม่มีหลักฐานว่าการที่คนสุขภาพดีใส่หน้ากากอนามัยจะช่วยป้องกันได้ และถ้าใส่ไม่ถูกวิธี จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ เพราะยิ่งทำให้สัมผัสหน้าบ่อยขึ้น” เพอเรนเซวิช กล่าว

ใส่ หน้ากากอนามัย เมื่อมีอาการป่วยเท่านั้น

อย่างแรกเลยคือ คนส่วนใหญ่ซื้อหน้ากากชนิดที่ไม่สามารถหยุดเชื้อไวรัสเข้าปากหรือจมูกอยู่ดี เชื้อไวรัสโคโรนาแพร่กระจายได้ผ่านหยดน้ำ แต่ไม่สามารถแพร่กระจายทางอากาศ หมายความว่าคุณไม่สามารถจะอยู่ดีๆ ก็หายใจเอาเชื้อเข้าไป แต่ก็หมายความว่าหน้ากากอนามัยตามมาตรฐานทั่วไปไม่สามารถช่วยได้ หน้ากากเหล่านี้ ทำขึ้นมาเพื่อกันเชื้อโรคออกจากผู้ใส่แพร่ไปสู่คนอื่น ไม่ใช่เพื่อกันเชื้อโรคเข้าสู่ตัวผู้สวมใส่ “เวลาเดียวที่คุณควรต้องมีหน้ากาก คือเมื่อคุณป่วย และต้องออกจากบ้าน”

“ถ้าคุณเป็นไข้หวัดใหญ่ หรือคิดว่ามีเชื้อโควิด นั่นคือเวลาที่คุณต้องใส่หน้ากากเพื่อป้องกันคนอื่น อย่างเมื่ออยู่ในบ้าน ถ้าคุณร้สึกป่วย คุณควรใส่หน้ากากเพื่อป้องกันสมาชิกครอบครัวรับเชื้อจากคุณ”

หน้ากากอะไรที่จะช่วยกันเชื้อไวรัสได้

หน้ากากชนิดที่ครอบคลุมทั้งหน้า ป้องกันทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส คืออุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจ ชนิดที่เจ้าหน้าที่การแพทย์ใส่เมื่อต้องรักษาหรือบำบัดผู้ป่วยที่เป็นโรคที่ติดต่อร้านแรง

บริษัท 3M ผู้ผลิตหน้ากากป้องกันระบบทางเดินหายใจ อธิบายบนเวบไซท์ว่า หน้ากากชนิดนี้ ป้องกันผู้สวมใส่ติดเชื้อจากคนไข้ และป้องกันคนไข้ติดเชื้อจากผู้สวมใส่

หน้ากากที่ว่านี้ ต้องได้รับการรับรองว่าเป็นมาตรฐาน N95 หรือ FFP2 หรือที่มีระดับเทียบเคียงกัน ซึ่งศูนย์ควบคุมโรงของสหรัฐฯได้มีการเผยแพร่เปรียบเทียบหน้ากากแต่ละชนิดไว้

หน้ากากอนามัยสำหรับแพทย์แบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง ต้องทิ้งหลังจากใช้เพียงครั้งเดียว เพราะมีการปนเปื้อนแล้ว

ทำไมถึงไม่จำเป็นต้องใช้หน้ากาก N95

บุคลากรที่ต้องสวมใส่หน้ากากเหล่านี้ ได้รับการฝึกฝนวิธีใส่ที่ถูกต้องเพื่อป้องกันตัวเองติดเชื้อ เช่นการทำให้แน่ใจว่าหน้ากากแนบหน้าแบบที่อากาศผ่านตามขอบไม่ได้

แต่ถึงอย่างนั้น เวบไซท์ 3M ระบุว่า “ไม่ว่าหน้ากากจะใส่แนบหน้าดีแค่ไหน และอุปกรณ์มีประสิทธิภาพแค่ไหน คนใส่ก็ต้องรู้ว่าอาจมีอากาศหลุดเข้าไปในหน้ากากได้” ไม่มีหน้ากากป้องกันระบบทางเดินหายใจชนิดไหนที่จะกำจัดโอกาสในการสัมผัสได้ 100 เปอร์เซ็นต์

การใช้หน้ากากอย่างไม่ถูกต้อง และกำจัดที่ใช้แล้วอย่างไม่ถูกต้อง ยิ่งเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ เพราะคนส่วนใหญ่ยิ่งมักสัมผัสหน้าบ่อยขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพอเรนเซวิชกล่าวว่า “ถ้าไม่ล้างมือก่อนและหลังถอดหน้ากาก คุณอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเอง”

นอกจากนี้ การพยายามหาซื้อหน้ากากชนิดดังกล่าวในช่วงที่กำลังขาดตลาด จะยิ่งทำให้บุคลากรทางการแพทย์ตามสถานพยาบาลหาหน้ากากเหล่านี้ใช้ได้ยากขึ้น “สิ่งที่ต้องกังวลมากที่สุดคือเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะป่วย และต้องกักตัวอยู่บ้าน แล้วเราก็อาจสูญเสียแพทย์และพยาบาลที่มีส่วนสำคัญในการสู้กับการระบาด”

จะป้องกันตัวเองจาก โควิด-19 ได้อย่างไร

อย่างเราได้ยินกันมาตลอด การล้างมือที่ถูกต้องด้วยน้ำและสบู่ คือวิธีการป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่ดีที่สุด

ศาสตราจารย์ด้านชีวฟิสิกส์ ดร. คาเรน เฟลมมิง แห่งมหาวิทยาลัยจอห์นฮอบกินส์ กล่าวว่า ไวรัสโคโรนาเป็นไวรัสที่มีเปลือกห่อหุ้ม มีชั้นเยื่อหุ้มเซลล์เป็นสารอินทรีย์จำพวกไขมัน “การล้างมือด้วยสบู่และน้ำ สามารถ “ละลาย” ชั้นไขมันและฆ่าเชื้อไวรัสได้

ล้างมือก่อนและหลังรับประทานอาหาร และพยายามฝึกตัวเองไม่ให้สัมผัสหน้า โดยเฉพาะปากและจมูก พกเจลแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อโรคติดตัวอยู่เสมอ เผื่อเวลาไม่มีน้ำและสบู่ ใช้หลังการสัมผัสหน้า หรือพื้นผิวที่ปนเปื้อน “เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ หากคุณสัมผัสแกหรือหน้าด้วยมือที่ปนเปื้อน ดังนั้น ล้างมือ และอย่าสัมผัสปากหรือหน้า โดยไม่ล้างมือก่อน”

หากอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

สิ่งที่คุณเตรียมตัวได้ หากกำลังเกิดการระบาดในเมืองที่คุณอยู่ คุณควรเตรียมยาที่จำเป็นสำหรับใช้ในระยะเวลา 3 ถึง 4 สัปดาห์

เตรียมสิ่งจำเป็นให้เพียงพอ ทั้งอาหารและสิ่งอื่นๆ ที่ขาดไม่ได้ เตรียมพร้อมรับมือหากโรงเรียนบุตรหลายปิดชั่วคราว แล้วเด็กๆ ต้องอยู่บ้านหลายวัน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าต้องกักตุนอาหาร แต่ให้เตรียมเผื่อมีเหตุฉุกเฉิน คือมีอาหารและน้ำ (1 ลิตร ต่อ 1 คน ต่อวัน) และสิ่งจำเป็น เพียงพอเผื่ออย่างน้อยสำหรับ 3 วัน

เรียบเรียงจาก forbes.com

related