
SHORT CUT
ป่าแอมะซอนกำลังเข้าสู่สภาพภูมิอากาศแบบ 'เขตร้อนชื้นจัด' เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ล้านปี ลางบอกเหตุสภาพอากาศสุดขั้วที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature เปิดเผยว่า ป่าฝนแอมะซอนกำลังเผชิญกับ 'ภาวะร้อนจัดเกินปกติ' สร้างสภาพแวดล้อมที่เรียกว่า 'เขตร้อนชื้นจัด' ซึ่งไม่เคยพบเห็นที่ใดบนโลกมานานประมาณ 10 ล้านปีแล้ว เนื่องจากความร้อนจัดและภัยแล้งรุนแรงยังคงผลักดันให้ภูมิภาคนี้เผชิญขีดจำกัดเกินกว่าที่ระบบนิเวศเขตร้อนสามารถทนได้
ทีมวิจัยคาดการณ์ว่า สภาวะเช่นนี้อาจเกิดขึ้นได้ถึง 150 วันต่อปี ซึ่งจะส่งผลร้ายแรงต่อระบบนิเวศ เช่น อัตราการตายของต้นไม้เพิ่มขึ้น 55 เปอร์เซ็นต์
เจฟฟ์ แชมเบอร์ส หนึ่งในทีมวิจัย เผยว่า ภาวะแห้งแล้งที่ร้อนจัดเช่นนี้นับว่าอยู่นอกเหนือขอบเขตของสิ่งที่เราถือว่าเป็นป่าเขตร้อนในปัจจุบัน แต่เป็น 'เขตร้อนชื้นจัด' ที่เคยปรากฏบนโลกครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ 10 ถึง 40 ล้านปีก่อน ซึ่งในเวลานั้นโลกมีอุณหภูมิสูงกว่าปัจจุบันมาก
อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าปัญหานี้ยังคงสามารถหลีกเลี่ยงได้หากเราใช้มาตรการที่จำเป็น 'ขึ้นอยู่กับว่า มนุษย์จะสร้างสภาพภูมิอากาศแบบร้อนจัดในระดับใด' เพราะหากทั่วโลกยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยไม่มีการควบคุม สภาพภูมิอากาศแบบร้อนจัดก็จะยิ่งเกิดเร็วยิ่งขึ้น
จากการสังเกตอัตราการคายน้ำของพืชในสองพื้นที่ที่แตกต่างกันของลุ่มน้ำแอมะซอน นักวิจัยพบว่า เมื่อปริมาณความชื้นในดินลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ พืชจะมีอัตราการคายน้ำที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากต้นไม้ปิดรูพรุนในใบเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ
ผลที่ตามมาคือใบไม้ไม่สามารถดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ที่จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์แสงได้ จนในที่สุดต้นไม้ก็ประสบกับภาวะท่อน้ำเลี้ยงตีบตันเนื่องจากเกิดฟองอากาศในท่อน้ำเลี้ยงของต้นไม้ และสุดท้ายมันจะค่อยๆ ตายไปเอง
แน่นอนว่าผลกระทบจากการตายของต้นไม้จำนวนมาก คือปริมาณการดูดซับคาร์บอนที่ลดลง ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสภาพภูมิอากาศโลก เนื่องจากป่าแอมะซอนคือหนึ่งในป่าฝนหลักของโลกที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมงบประมาณคาร์บอน
โดยนักวิจัยได้ส่งสัญญาณเตือนไปยังทุกประเทศทั่วโลก เรียกร้องให้มีการกำหนดนโยบายเพื่อป้องกันโดยเร็วที่สุด พร้อมย้ำว่า ภัยแล้งที่ร้อนจัดในปัจจุบัน เป็นลางบอกเหตุที่ชัดเจนที่สุดของสภาพภูมิอากาศสุดขั้วที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต