SHORT CUT
พลังงานหมุนเวียนได้แซงหน้าถ่านหินขึ้นเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าชั้นนำของโลกในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ด้วย
ท่ามกลางความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อข้อมูลใหม่ของเอ็มเบอร์ Ember ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านพลังงานระดับโลกเผยว่า พลังงานหมุนเวียนสามารถแซงหน้าถ่านหินขึ้นเป็นแหล่งพลังงานไฟฟ้าชั้นนำของโลกแล้วในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ทั้งยังแข็งแกร่งมากจนสามารถตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มเติมได้ 100% และยังช่วยลดการใช้ถ่านหินและก๊าซลงเล็กน้อยอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เอ็มเบอร์กล่าวว่าข้อมูลดังกล่าวนี้ ยังไม่ได้ขยายให้เห็นถึงภาพรวมการใช้พลังงานของทั่วโลกที่ผสมผสานกัน เพราะในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาบางแห่ง รวมถึงจีน กำลังเป็นผู้นำในการใช้พลังงานสะอาด แต่ประเทศที่ร่ำรวยบางแห่ง เช่น สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป กลับยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ทำให้โลกร้อนขึ้นเพื่อผลิตไฟฟ้ามากขึ้นกว่าเดิม
อ้างอิงจากรายงานของสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ที่ระบุว่า ช่องว่างด้านพลังงานที่แตกต่างนี้มีแนวโน้มที่จะเด่นชัดยิ่งขึ้น โดยคาดการณ์ว่าพลังงานหมุนเวียนจะเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้มากในสหรัฐอเมริกา อันเป็นผลมาจากนโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
แม้ว่าจีนจะยังคงเพิ่มจำนวนโรงไฟฟ้าถ่านหิน แต่จีนก็ยังคงนำหน้าในด้านการเติบโตของพลังงานสะอาด โดยเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมากกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกรวมกัน ส่งผลให้การเติบโตของการผลิตพลังงานหมุนเวียนในจีนแซงหน้าความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และช่วยลดการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลลง 2%
อินเดียประสบกับความต้องการไฟฟ้าที่เติบโตช้าลงและยังเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหมายความว่าอินเดียได้ลดการใช้ถ่านหินและก๊าซลงด้วยเช่นกัน
ตรงกันข้าม ในสหรัฐฯ ความต้องการไฟฟ้าเติบโตเร็วกว่าผลผลิตพลังงานสะอาด ส่งผลให้มีการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น ส่วนที่สหภาพยุโรป ประสิทธิภาพของพลังงานลมและพลังงานน้ำที่อ่อนแอลงเป็นเวลานานหลายเดือน ส่งผลให้การผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินและก๊าซเพิ่มขึ้น
แม้จะมีความแตกต่างในระดับภูมิภาคเหล่านี้ แต่เอ็มเบอร์รียกช่วงเวลานี้ว่าเป็น "จุดเปลี่ยนสำคัญ" ที่พลังงานสะอาดสามารถตามทันความต้องการที่เพิ่มขึ้น
ปัจจุบันการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ส่วนใหญ่ (58%) อยู่ในประเทศที่มีรายได้น้อย ซึ่งหลายประเทศมีการเติบโตแบบก้าวกระโดดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ต้องขอบคุณต้นทุนที่ลดลง ซึ่งทำให้ราคาพลังงานแสงอาทิตย์ลดลงอย่างน่าตกใจถึง 99.9% นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 และปัจจุบันมีราคาถูกมากจนสามารถสร้างตลาดพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ในประเทศได้ภายในเวลาเพียงปีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่ไฟฟ้าจากระบบสายส่งมีราคาแพงและไม่น่าเชื่อถือ ส่งผลให้พลังงานแสงอาทิตย์ในบางประเทศเติบโตรวดเร็วมากอย่างไม่น่าเชื่อ
การเติบโตของพลังงานสะอาดนี้ยังสามารถนำไปต่อยอดทางเศรษฐกิจได้ ยกตัวอย่างเมื่อเดือนสิงหาคม มูลค่าการส่งออกเทคโนโลยีสะอาดของจีนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขับเคลื่อนโดยยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น 26% และยอดขายแบตเตอรี่ที่พิ่มขึ้น 23%