ผู้บริโภคอาจถูกหลอก นักวิเคราะห์ในยุโรปได้ทดสอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในยุโรปกว่า 800,000 คัน ผลพบว่า ปล่อยมลพิษมากพอๆกับรถสันดาปใช้น้ำมัน แม้โฆษณาว่าเป็นรถรักษ์โลก
จริงอยู่ว่า ที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้า ถูกโฆษณาว่า เป็นรถที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ารถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ด้วยคำที่ว่า “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ผนวกเข้ากับฟังก์ชันที่ดูเข้ากันกับยุคสมัยใหม่ จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเป็นที่นิยม และมีจำนวนบนถนนไม่น้อยไปกว่ารถยนต์สันดาป
แต่อีกประเภทหนึ่งของรถยนต์ ที่อยู่ก่ำกึ่งระหว่างไฟฟ้ากับน้ำมัน อย่าง รถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนนิยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารถยนต์ทั้งสองแบบ แต่สิ่งที่เรารู้น้อยกว่าคือ รถยนต์ไฮบริดมีบทบาทต่อสิ่งแวดล้อมมากแค่ไหน กับฟังก์ชันรถที่สามารถสามารถใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฮบริดที่เราจะมาเน้นกันในบทความนี้คือ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานได้จากทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าที่มาจากการชาร์จไฟในบ้านหรือสถานีชาร์จได้เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป
ผลพบว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จริงในปี 2023 สูงกว่าผลทดสอบมาตรฐานถึง 4.9 เท่า (เพิ่มขึ้นจาก 3.5 เท่า ในปี 2021) และในทางกลับกัน ยังพบว่าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จริงเพียง ร้อยละ 19 น้อยกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซล เพราะก่อนหน้านั้น ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการณ์คาดการณ์ว่า ปลั๊กอินไฮบริดจะช่วยลดมลพิษได้มากถึงร้อยละ 75
งานวิจัยก็ได้ให้สาเหตุไว้ โดยระบุว่า เป็นเพราะ 3 ปัจจัยนี้
นั่นจึงทำให้นักวิเคราะห์มองว่า นี่อาจจะรวมถึงมาตรการการส่งออกรถยนต์ที่เข้มงวดมากขึ้นด้วยหรือไม่ ที่นโยบายสิ่งแวดล้อมกำหนดว่ารถยนต์ต้องมีอัตราการปล่อยมลพิษที่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด จึงจะส่งออกได้ นั่นจึงทำให้ผู้ผลิตเริ่มลักไก่ ประเมินการปล่อยมลพิษต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อให้ผ่านมาตรฐานการส่งออก
อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยนี้เกิดขึ้นมา เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปเรียกร้องให้สหภาพยุโรปผ่อนคลายเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และคาดว่าในอนาคตรถยนต์สันดาปจะถูกแบนอย่างจริงจังภายในปี 2035 นั่นจึงทำให้การออกมาเรียกร้องมีนัยบางอย่างที่น่าสงสัย จนนำไปสู่การทดสอบในครั้งนี้