svasdssvasds

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อาจก่อมลพิษเทียบเท่ารถยนต์ใช้น้ำมัน

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อาจก่อมลพิษเทียบเท่ารถยนต์ใช้น้ำมัน

ผู้บริโภคอาจถูกหลอก นักวิเคราะห์ในยุโรปได้ทดสอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในยุโรปกว่า 800,000 คัน ผลพบว่า ปล่อยมลพิษมากพอๆกับรถสันดาปใช้น้ำมัน แม้โฆษณาว่าเป็นรถรักษ์โลก

จริงอยู่ว่า ที่ผ่านมา รถยนต์ไฟฟ้า ถูกโฆษณาว่า เป็นรถที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่ารถยนต์สันดาปที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง ด้วยคำที่ว่า “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” ผนวกเข้ากับฟังก์ชันที่ดูเข้ากันกับยุคสมัยใหม่ จึงทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเป็นที่นิยม และมีจำนวนบนถนนไม่น้อยไปกว่ารถยนต์สันดาป

แต่อีกประเภทหนึ่งของรถยนต์ ที่อยู่ก่ำกึ่งระหว่างไฟฟ้ากับน้ำมัน อย่าง รถยนต์ไฮบริด (HEV) ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนนิยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ารถยนต์ทั้งสองแบบ แต่สิ่งที่เรารู้น้อยกว่าคือ รถยนต์ไฮบริดมีบทบาทต่อสิ่งแวดล้อมมากแค่ไหน กับฟังก์ชันรถที่สามารถสามารถใช้ได้ทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน 

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อาจก่อมลพิษเทียบเท่ารถยนต์ใช้น้ำมัน ซึ่งรถยนต์ไฮบริด (HEV) โดยทั่วไป จะเป็นรถที่ไม่สามารถชาร์จไฟตามตู้ชาร์จได้ แต่จะมีแบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สามารถเก็บพลังงานมาจากการเบรก เพื่อเสริมแรงขับแทนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ยามฉุกเฉิน 

อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฮบริดที่เราจะมาเน้นกันในบทความนี้คือ ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานได้จากทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง และไฟฟ้าที่มาจากการชาร์จไฟในบ้านหรือสถานีชาร์จได้เหมือนรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไป

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อาจก่อมลพิษเทียบเท่ารถยนต์ใช้น้ำมัน รายงานจาก The Guardian เผยว่า งานวิจัยชิ้นหนึ่งของยุโรปได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลรถยนต์ยุโรปกว่า 800,000 คันเป็นรถที่จดทะเบียนระหว่างปี 2021-2023 โดยมีการวัดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถยนต์ 

ผลพบว่ารถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จริงในปี 2023 สูงกว่าผลทดสอบมาตรฐานถึง 4.9 เท่า (เพิ่มขึ้นจาก 3.5 เท่า ในปี 2021) และในทางกลับกัน ยังพบว่าลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จริงเพียง ร้อยละ 19 น้อยกว่ารถยนต์ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซล เพราะก่อนหน้านั้น ผลการทดสอบในห้องปฏิบัติการณ์คาดการณ์ว่า ปลั๊กอินไฮบริดจะช่วยลดมลพิษได้มากถึงร้อยละ 75

ความต่างระหว่างมลพิษที่ปล่อยจริงกับค่ามลพิษที่ประเมินจากห้องปฏิบัติการณ์ cr. Transport Environment ดังนั้น นักวิจัยจึงสรุปได้ว่า รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดปล่อยมลพิษเกือบเท่ากับรถยนต์ใช้น้ำมัน แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ปล่อยคาร์บอนพอ ๆ กัน ใช้ไฟฟ้าร่วมด้วยได้ ก็น่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนลงได้ไม่ใช่หรือ?

งานวิจัยก็ได้ให้สาเหตุไว้ โดยระบุว่า เป็นเพราะ 3 ปัจจัยนี้

  1. การประเมินการใช้โหมดไฟฟ้าสูงเกินจริง (Utility Factor) : ช่องว่างนี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้ขับขี่ใช้งานโหมดไฟฟ้า (Electric Mode) ในชีวิตประจำวัน น้อยกว่าที่ประเมินไว้ในการทดสอบมาตรฐาน ซึ่งข้อมูลจริงที่ปรากฎคือ มีคนใช้โหมดนี้เพียงร้อยละ 27 ของระยะทางรวม แต่ในห้องทดลองประเมินไว้ที่ ร้อยละ 84
  2. เครื่องยนต์สันดาปยังคงทำงาน แม้เปลี่ยนไปใช้โหมดไฟฟ้า : ในขณะที่เราเลือกขับขี่ด้วยโหมวดไฟฟ้า การทดสอบใหม่พบว่ายังมีค่ามลพิษปล่อยออกมาอย่างมีนัยสำคัญ โดยวิเคราะห์ว่า เนื่องจากมอเตอร์ไฟฟ้าอาจมีกำลังไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนลำพัง ทำให้เครื่องยนต์สันดาปต้องเผาเชื้อเพลิงช่วยในระยะทางเกือบ 1 ใน 3 ของการขับขี่ในโหมดไฟฟ้า
  3. ผู้ผลิตหลีกเลี่ยงจ่ายค่าปรับ : การประเมินการปล่อยมลพิษต่ำกว่าความเป็นจริง เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ 4 กลุ่มของยุโรปสามารถใช้เพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับที่รวมกันมากกว่า 5,000 ล้านยูโรได้ ในช่วงระหว่างปี 2021-2023 และนั่นก็ทำให้ผู้ใช้รถปลั๊กอินไฮบริดมีค่าใช้จ่ายรายปีราว 500 ยูโรแบบไม่รู้ตัว

นั่นจึงทำให้นักวิเคราะห์มองว่า นี่อาจจะรวมถึงมาตรการการส่งออกรถยนต์ที่เข้มงวดมากขึ้นด้วยหรือไม่ ที่นโยบายสิ่งแวดล้อมกำหนดว่ารถยนต์ต้องมีอัตราการปล่อยมลพิษที่ต่ำกว่าเกณฑ์กำหนด จึงจะส่งออกได้ นั่นจึงทำให้ผู้ผลิตเริ่มลักไก่ ประเมินการปล่อยมลพิษต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อให้ผ่านมาตรฐานการส่งออก

รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อาจก่อมลพิษเทียบเท่ารถยนต์ใช้น้ำมัน โคลิน วอล์กเกอร์ นักวิเคราะห์ด้านการขนส่ง กล่าวว่า ผู้บริโภคถูกหลอกให้เชื่อว่าการซื้อ PHEV ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและประหยัดเงินในกระเป๋าจากการเติมน้ำมัน แต่ในความเป็นจริง PHEV แทบไม่ต่างอะไรกับรถยนต์ใช้น้ำมันเลย ในแง่ของการใช้เชื้อเพลิง การปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตลอดการใช้งาน

อย่างไรก็ตาม ข้อสงสัยนี้เกิดขึ้นมา เนื่องจากผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปเรียกร้องให้สหภาพยุโรปผ่อนคลายเป้าหมายการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ และคาดว่าในอนาคตรถยนต์สันดาปจะถูกแบนอย่างจริงจังภายในปี 2035 นั่นจึงทำให้การออกมาเรียกร้องมีนัยบางอย่างที่น่าสงสัย จนนำไปสู่การทดสอบในครั้งนี้

related