สรุป วิกฤตเกษตรยุโรป ทำไมเกษตรกรออกมาประท้วง เมื่อรัฐออกนโยบายแก้โลกร้อน
เดือดพร้อมโลกเดือด เกษตรกรยุโรปลุกฮือ ประท้วงต่อต้านนโยบายสีเขียวเพื่อลดโลกเดือดของสหภาพยุโรป หลังมาตรการดังกล่าวสร้างความไม่เป็นธรรม ต้นทุนสูง รายได้หาย ผลผลิตตกต่ำ
เกิดอะไรขึ้น ทำไมเกษตรกรยุโรปออกมาประท้วง?
เกษตรกรของยุโรป พร้อมใจกันลุกฮือ ออกมาเดินประท้วงต่อต้านและขับรถแทรกเตอร์มาจอดขวางถนน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อมาตรการสีเขียวหรือนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลยุโรป ซึ่งการประท้วงนี้ยืดเยื้อยาวนานมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้วในยุโรป เช่น กรีซ เยอรมนี โปรตุเกส โปแลนด์ เบลเยียม โรมาเนีย สเปน อิตาลี และฝรั่งเศส
เกษตรกรเล่าว่า หลังรัฐบาลออกมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งบนบก และทางน้ำ รวมไปถึงเน้นมาที่ภาคเกษตรที่มีส่วนในการปล่อยเรือนกระจก นั่นเลยทำให้พวกเขาเผชิญหน้ากับราคาขายที่ลดลง ต้นทุนสูงขึ้น กฎระเบียบที่เข้มงวด ผู้ค้าปลีกหรือเอกชนมีอำนาจครอบงำ มีหนี้ มีการแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและกดราคาถูกกว่าสินค้าในประเทศมากเกินไป รวมถึงวิกฤตการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ทำให้ยุโรปเผชิญกับความแห้งแล้งมาอย่างยาวนาน จนผลผลิตไม่ได้คุณภาพและปริมาณตามเป้า
ต้นทุนสูงขึ้น ราคาสินค้าขาลง
ต้นทุนของเกษตรกร โดยเฉพาะพลังงาน ปุ๋ย การขนส่ง ได้เพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศในสหภาพยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ในขณะที่รัฐบาลและเอกชนผู้ค้านึกถึงแต่ผลกระทบของค่าครองชีพผู้บริโภค ราคาอาหารแพงขึ้น แต่กลับไม่นึกถึงต้นทางว่าผู้ผลิตวัตถุดิบอาหารคือกลุ่มเกษตรกร ที่ต้องได้รับการเยียวยาด้วยเช่นเดียวกัน
การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าภายในประเทศตกต่ำ
การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นปัญหาใหญ่สำหรับเกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก ที่มีการนำเข้าผลผลิตทางการเกษตรราคาถูกจำนวนมากจากยูเครน สหภาพยุโรปจึงสละโควตาและภาษีอากรให้หลังยูเครนถูกรัสเซียรุกราน ส่งผลให้เกิดการกดราคาผลผลิตทางการเกษตรภายในประเทศเสียเอง และเกษตรกรมองว่าเป็นการแข่งขันไม่เป็นธรรม ซ้ำร้าย นอกจากจะละเว้นภาษีสินค้านำเข้าแล้ว ยังระงับการลดภาษีน้ำมันดีเซลเพื่อการเกษตรของพวกเขาแทน
แรงงานเกษตรจากโปแลนด์คนหนึ่งกล่าวว่า “เมล็ดพืชยูเครนควรไปในปลายทางที่เป็นเจ้าของ อย่างในตลาดเอเชียหรือแอฟริกา ไม่ใช่ยุโรป”
อุณหภูมิที่สูงขึ้น จากโลกเดือดก็แย่พอที่จะกระทบการผลิตพืชผลให้ได้ตามเป้า
การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือสภาพอากาศสุดขั้วปีที่แล้วและปีนี้ยังคงโจมตียุโรปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายพื้นที่เผชิญหน้ากับภัยแล้งรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการผลิตทางการเกษตร
แหล่งน้ำบางแห่งทางตอนใต้ของสเปนมีความจุเพียง 4% ในขณะไฟป่าได้กวาดฟาร์มในกรีซไปแล้วประมาณ 20% แต่อย่างไรก็ตาม รัฐยังจำกัดการใช้น้ำเพื่อการเกษตรจากแม่น้ำตากัส ซึ่งเป็นสายแม่น้ำที่ยาวที่สุดในคาบสมุทรไอบีเรียของสเปนด้วย
นโยบายสีเขียว ที่ไม่เอื้อต่อเกษตรกร
นโยบายเกษตรร่วม (CAP : The Common agricultural policy) เป็นระบบเงินอุดหนุนมูลค่า 55 พันล้านยูโรต่อปี เพื่อเพิ่มความมั่นคงด้านอาหารของยุโรป ถูกพักไว้มานานกว่า 60 ปีแล้ว นั่นเลยทำให้ฟาร์มในยุโรปลดลงมากกว่า 1 ใน 3 นับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2548 ฟาร์มขนาดใหญ่มีหนี้สินท่วมหัว กำไรต่ำ และฟาร์มขนาดเล็กไม่สามารถแข่งขันได้
ซึ่งตรงนี้ที่เกษตรกรมองว่ามันไม่สมเหตุสมผลและเคร่งครัดเกินไป นโยบายสีเขียวไม่ยุติธรรม ไม่สามารถอยู่รอดได้ในเชิงเศรษฐกิจ
รัฐบาลจะแก้เกมการประท้วงอย่างไร?
รัฐบาลแห่งชาติได้ออกมาประกาศว่าจะดำเนินขั้นตอนดังนี้
- เบอร์ลินลดแผนการลดการอุดหนุนน้ำมันดีเซล
- ปารีสยกเลิกการขึ้นภาษีน้ำมันดีเซล ชะลอมาตรการอื่น ๆ
- จะมอบเงินช่วยเหลือ 150 ล้านยูโร เพื่อกระตุ้นให้สหภาพเกษตรกรระงับการประท้วง
- จำกัดการนำเข้าสินค้าเกษตรจากยูเครน
- ระงับการปล่อยที่ดินทิ้งร้าง 4% ไว้ก่อน ในขณะเดียวกันเกษตรกรจะยังคงได้เงินอุดหนุนจากสภาพยุโรปอยู่
ที่มาข้อมูล
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
