svasdssvasds

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

เมื่อหมอสัตวแพทย์ผู้ทุ่มเทให้งานจนร่างกายล้า ค้นพบการวิ่งเพื่อชีวิตที่สมดุล และเรียนรู้บทเรียนอันล้ำค่าจากหัวใจที่เกือบหยุดเต้น

“ผมรู้สึกว่า...ผมยังอายุไม่ถึง 40 เลยนะ ทำไมร่างกายมันล้าขนาดนี้"

เมื่อ 12 ปีที่แล้ว หมอโอ๊ต-รศ.น.สพ.ดร.วีระศักดิ์ ฟุ้งเฟื่อง จากภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งคำถามนี้กับตัวเอง 

คิดว่าถึงเวลาแล้ว…ที่ต้องลุกขึ้นมาใส่รองเท้าแล้วออกวิ่ง จากวันแรกที่วิ่งได้รอบเดียวแล้วกลับ ฝึกซ้อมจนสามารถ 5 พิชิตมาราธอน ฝากสถิติไว้ที่ 3 ชั่วโมง 50 นาที

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

หมอโอ๊ตเคยทำงาน 7 วันจนร่างกายล้าและมีภาวะนอนไม่หลับ เขาใช้การวิ่งเป็นงานอดิเรกที่ชุบชูใจ ทุกครั้งหลังสอนเสร็จ เราจะพบเขาที่สนามอินทรีจันทรสถิตย์อยู่เสมอ และการวิ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การออกกำลังกาย แต่ยังช่วยให้เขาได้เรียนรู้การจัดการความเครียด และทำความเข้าใจชีวิต

ที่สำคัญที่สุดคือการที่หมอโอ๊ตสามารถเอาชนะความกลัวที่ฝังใจมาตั้งแต่วัยเด็ก จากเหตุการณ์ที่วิ่งได้ที่โหล่ในการแข่งขันกีฬาสีที่โรงเรียนสมัยประถม จนถึงวันที่เขาต้องเผชิญกับวิกฤตของร่างกายเมื่อหัวใจเต้นสูงถึง 220 ครั้ง/นาที นาน 3 ชั่วโมง แต่จิตใจกลับนิ่งดั่งคลื่นสงบในฤดูมรสุม

คอนเทนท์ซีรีส์ Spring Up Ur Soul ชวนอ่านเรื่องราวของหมอโอ๊ต เรื่อยไปตั้งแต่การสร้างวินัย การพิชิตมาราธอน การจัดการความเครียด และการเอาชนะความกลัว ในวันที่ทุกอย่างดูจะไม่เข้าข้างเราไปเสียหมด บทเรียนทั้ง 9 ข้ออาจพอช่วยให้คุณผ่านวันเหล่านี้ไปได้

ข้อ 1

เรื่องบังเอิญอาจชี้เราไปในทางที่ไม่เคยมอง

“ตอนสมัยมัธยมผมสนิทกับอาจารย์สอนวิชาแนะแนวมาก ชอบสไตล์การสอนของอาจารย์ที่พูดให้เด็กรู้สึกผ่อนคลายจากความเครียด พอต้องกรอกใบสมัครโควตาให้ครูประจำชั้นดู ผมกรอกคณะศึกษาศาสตร์ของ มหาวิทยาลัยศิลปากร ครูบอกว่าเธอไปคิดมาใหม่ เธอไม่เหมาะกับอาชีพนี้”

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

หมอโอ๊ตเกิดและเติบโตที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เขาออกตัวว่าไม่ได้เป็นคนเรียนเก่ง ผลการเรียนอยู่ในระดับปานกลาง แต่มาระเบิดฟอร์มช่วง ป.4 เขาสอบได้ที่ 1 ของชั้นเรียน ทำให้ถูกจับตาจากเพื่อนและครูว่า ‘ไอ้นี่มันหัวดี’

เมื่อเลื่อนสู่วัยมัธยม ผลการเรียนที่ดีทำให้เขาได้อยู่ห้องคิง แต่เจ้าตัวก็ออกตัวอีกว่าไม่ได้เป็นคนจีเนียสอะไร ผลการเรียนพอไปวัดไปวาได้ บรรยากาศในห้องคิงทำให้เขาต้องตั้งใจเรียนไปด้วย เมื่อถึงเวลาต้องเลือกว่าจะสอบโควต้าเข้าคณะอะไร เด็กห้องคิงคนนี้ไม่ได้อยากเรียนสัตวแพทย์ตั้งแต่แรก

“ยุคเมื่อปี 36 ข้อมูลต่าง ๆ มันค่อนข้างน้อย ตอนที่ต้องคิดว่าจะเรียนอะไรดี ตอนแรกผมไม่ได้มองที่สัตวแพทย์เลย ผมมองไปทางคณะเกษตร คณะประมง เพราะด้วยสภาพแวดล้อมที่โตมา ผมคุ้นชินกับชีวิตชาวประมงชาวสวน อันนี้คือก่อนจะปรึกษาครูนะ”

หลังจากปรึกษาอาจารย์ประจำชั้น เขาถูกไล่ให้ไปคิดคณะที่จะสอบใหม่ ด้วยเหตุผลว่า "เธอไม่เหมาะกับอาชีพนี้"

“ตอนนั้นผมงงนะ โมโหด้วย แล้วพอดีว่าตอนนั้นเพื่อนที่จะสมัครโควตาสัตวแพทย์เขาถอนตัว ผมก็เลยสมัคร โชคดีสอบโควต้าติดคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ของ ม.เกษตร แต่กว่าจะติดได้ก็ลากเลือด เพราะผมไม่เคยเรียนกวดวิชา ยุคนั้น คนที่จะเรียนกวดวิชาคือต้องนั่งรถมาเรียนที่กรุงเทพฯ ครอบครัวผมซัพพอร์ตรงนี้ไม่ไหว ผมก็เลยอ่านหนังสือเอง โดยให้แม่ปลุกมาอ่านหนังสือตั้งแต่ตี 5 จนถึง 7 โมงก่อนไปโรงเรียน”

หมอโอ๊ตเล่าว่านิสัยการอ่านติดมาจนถึงสมัยเรียนมหาวิทยาลัย หลังเลิกคลาส เขาจะแว๊บไปทำกิจกรรมสโมสรนิสิต กลับหอพักอ่านหนังสือตั้งแต่ 3 ทุ่มถึงเที่ยงคืน ทำแบบนี้ทุกวัน พอผ่านเทอมแรกไป เจ้าตัวมั่นใจเลยว่าถ้าใช้ชีวิตแบบนี้ น่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ไม่ยาก


ข้อ 2
การรักษาสัตว์ ต้องรักษาเจ้าของด้วย

“การเรียนสัตวแพทย์ ถ้ามองให้สนุกมันก็สนุกได้ อาชีพนี้เหมือนเป็นนักสืบ สมมติผู้ป่วยเป็นคนเราก็จะถามอาการได้ใช่ไหม แต่นี่ผู้ป่วยเราพูดไม่ได้”

หมอโอ๊ตเริ่มอาชีพสัตวแพทย์ เมื่อปี พ.ศ. 2542 ในฐานะลูกจ้างชั่วคราวที่โรงพยาบาลสัตว์ของคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขาจับมีดเป็นหมอผ่าตัดอยู่ 2 ปี แล้วพอดีอาจารย์หมอด้าน X-ray เกษียณอายุ หมอโอ๊ตจึงได้บรรจุราชการ เปลี่ยนจากหมอผ่าตัดมาทำงานด้านเอกเซรย์และอัลตร้าซาวน์

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

“ความสนุกคือเราต้องหาข้อมูลเพื่อทำการรักษาให้ได้ ด้วยวิธีสังเกตจากอาการสัตว์และสอบถามเจ้าของสัตว์เลี้ยง ด่านแรกที่สัตวแพทย์ต้องทำให้ได้คือหาวิธีที่จะวินิจฉัยให้ได้ว่าสัตว์ป่วยตัวนี้ เป็นโรคอะไร พอเสร็จแล้วปุ๊บ เราจะรู้ว่าต้องทำยังไงที่จะให้เขาหาย”

“พอเปลี่ยนมาทำด้าน X-ray มันก็จะสนุกไปอีกแบบนึง หมายความว่าเราจะดูเอกซเรย์ยังไงให้รู้ว่าสัตว์ป่วยมีความผิดปกติจากอะไร ข้อมูลตรงนี้จะช่วยไปซัพพอร์ทการวินิจฉัยของหมออีกที”

บ่อยครั้ง เจ้าของสัตว์เลี้ยงมักคาดหวังให้หมอเป็นเทวดา ยิ่งโรงพยาบาลสัตว์ ม.เกษตรศาสตร์ หรือ โรงพยาบาลสัตว์ของคณะสัตวแพทยศาสตร์ของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ยิ่งถูกคาดหวังว่าพาสัตว์เลี้ยงมารักษาแล้วต้องหาย แต่หมอโอ๊ตเล่าว่าหลาย ๆ เคส เจ้าของพาไปรักษาที่อื่น หรือหาวิธีรักษาเองตามอินเทอร์เน็ต แล้วไม่หาย พอมาถึงมือหมอก็ระยะท้ายแล้ว

“บางเคสเขาจำ พอเอาสัตว์มาที่นี่แล้วตาย เขาก็ไม่อยากมา อันที่จริง หมอไม่ได้เครียดเท่าไหร่ ด้วยความที่เราเข้าใจกลไกของโรค และสิ่งสำคัญคือเราต้องดูแลรักษาเจ้าของด้วย ทำยังไงที่จะให้เจ้าของเข้าใจ”

“การสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญ ยุคสมัยผมเรียนเราไม่ได้เน้นเรื่องนี้มากนัก มันมีสเตปของการคุย เพื่อให้เจ้าของเข้าใจสถานการณ์ โดยส่วนตัว เวลาผมจะสื่อสารกับเจ้าของ เราต้องมานั่งไล่เรียงว่าต้องทำยังไงเพื่อให้พูดเป็นภาษาที่ฟังแล้วเข้าใจ"

“เพราะปกติ เราคุยกันในโรงพยาบาลเราก็จะคุยกันโดยใช้ technical term เราเอาไปคุยกับเจ้าของไม่ได้ เขาไม่เข้าใจ และเดี๋ยวนี้เคสที่มาที่เกษตรคือขั้นสุดท้ายแล้ว เพราะเจ้าของหาวิธีรักษาผ่านอินเทอร์เน็ต รู้เยอะกว่าหมอ พอเราแนะนำเขาบอกอันนี้ไม่ได้นะ เค้าบอกมาว่าแบบนี้ ๆ เป็นแบบนี้เยอะมาก”

 

ข้อ 3
การทำงานควรเตรียมแผน 2 แผน 3 ไว้เสมอ

“คนทำงานมักกังวลไปก่อนว่ามันจะเกิดปัญหาแบบนี้นะ แบบนั้นนะ จนสุดท้ายก็ไม่กล้าทำอะไร แต่ถ้าเราบอกว่าถ้ารู้ปัญหาอยู่แล้ว เราก็เตรียมตัววางแผนไว้ แล้วก็ทำไปตามแผน ถ้ามันไม่มีปัญหาก็โอเค แต่ถ้ามีเราก็จะได้พิสูจน์ว่าที่เราเตรียมตัวไว้ มันแก้ไขปัญหาได้จริงหรือเปล่า”

หมวกอีกใบของหมอโอ๊ตคือ ‘อาจารย์โอ๊ต’ ปัจจุบัน เขาดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีทั้งงานบริหารภาควิชา งานวิจัย งานบริการวิชาการ และต้องเลกเชอร์นิสิต แม้งานจะรุมเร้า แต่หมอโอ๊ตยังรับมือพายุแต่ละลูกได้ยอดเยี่ยม

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

"งานที่มหาวิทยาลัย ผมไม่เครียด ผมทำงานกับคนมาเยอะตั้งแต่เรียนสัตวแพทย์ ผมเป็นประธานชมรม เป็นรองนายกสโมสรของนิสิต ดังนั้น เราก็จะเรียนรู้วิธีการในการที่จะ connection กับคน เวลาไปติดต่องานข้างนอกเราจะรู้ว่า ถ้าไปติดต่อบริษัทต้องคุยยังไง”

“ดังนั้น เรื่องแบบนี้เราไม่ห่วง แต่ที่กังวลที่สุดคือเรื่องคน ปัญหาของคนมันไม่จบสิ้น ต่อให้เราวางแผนยังไง มันมีปัญหาแน่นอน ตัวเราเองก็จะคิดว่าทำยังไงให้ไม่เครียด ให้รู้สึกสนุกเวลาที่มีปัญหาแล้วสามารถแก้ไขได้”

“ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนท้าทายปัญหานะ มาเลยเว้ยอะไรแบบนี้ ไม่มีใครอยากให้ปัญหามันเกิดหรอก แต่มันเป็นการฝึกเราให้แก้ปัญหาเป็น ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาของแต่ละคนต่างกัน เรามักคิดเสมอว่าสิ่งที่เราเลือกมันดีตัวเลือกที่ดีที่สุด ณ เวลานั้น เพื่อให้งานผ่านไปได้”

“เวลาผมทํางาน ในฐานะหัวหน้า ให้งานลูกน้องไป ในความคิดนะ ผมจะมีแผนสํารองไว้ในตัว โดยที่เราไม่บอกลูกน้อง เพราะถ้าบอกปุ๊บเขาก็จะลอยตัวว่า เดี๋ยวเราก็แก้ปัญหาให้ แต่เราเตรียมไว้แล้ว ถ้าเขาผิดพลาดตรงไหน เราพร้อมจะเข้าไปช่วยทันที วิธีคิดแบบนี้มันเป็นสิ่งที่ค่อย ๆ เรียนรู้”

“ตอนที่ผมทำร้านอาหารนิสิตสัตวแพทย์ เกษตรแฟร์ มันถึงคราวผมต้องบริหาร ผมเป็นผู้จัดการ แล้วเราเป็นคนมอบหมายให้เพื่อนแต่ละฝ่ายไปรับผิดชอบ มีปัญหาคือบางฝ่ายไม่ยอมทำ แล้วมันเสียทั้งร้าน”

“ผมเลยคิดว่าเราต้องมีแผนสำรองเอาไว้ในหัวเสมอ แต่ผมมองเป็นความสนุกอย่างนึงนะ โอเค ถ้าทำงานแล้วไม่มีปัญหามันก็เป็นโชคดีของเราไป แต่ถ้าทำงานแล้วมีปัญหา แล้วเราสามารถแก้ปัญหาให้ทีมได้ อันนี้สนุก”
 

ข้อ 4
ถ้าทำงานหนักเกินไป ร่างกายจะเตือนคุณเอง

ในยุคที่มีการสนับสนุนให้สร้าง work life balance สร้างสมดุลด้านต่าง ๆ ในชีวิต แต่หากย้อนไปสมัยที่หมอโอ๊ตเริ่มอาชีพสัตวแพทย์ เขาเล่าว่าบรรดาหมอหรือบุคลากรในโรงพยาบาล ไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลย มีแต่คิดจะหาเวลาว่างไปลงเวร

“ปี 42 เงินเดือนข้าราชการน้อยมาก ผมเคยไปสัมภาษณ์งานที่โรงพยาบาลเอกชน ให้เงินเยอะกว่า 2 เท่า แต่ต้องทำงาน 6 วัน แต่ของเกษตรทำงาน 5 วัน ตอนนั้นจึงเลือกทำที่ ม.เกษตร พอเราทำจนช่ำชอง ผมก็ไปรับงานพาร์ทไทม์ที่คลินิกหลังจากงานประจำ มีอยู่ช่วงนึงผมทำงาน 7 วัน”

สัตวแพทย์หนุ่มขยันทำงานด้วยไฟแรงสูง เขาต้องการเก็บเงินให้ได้มากที่สุด ไม่สนใจ work life balance พอจุดนึง เขาบินไปเรียนปริญญาเอก แล้วกลับมาเป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ที่ ม.เกษตร วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ไปรับงานที่คลินิกเป็นรายได้อีกทาง

“ช่วงนี้แหละที่ผมต้องทำงาน 7 วัน แทบไม่มีเวลาพัก มีอยู่ปีนึง ผมได้ทุนไปทำโพสต์ด็อกที่ฝรั่งเศส 5 เดือน แล้วพอกลับมา ทุกวิชาที่ผมสอนมันก็มาอออยู่ในเดือนเดียวกัน ผมเลยต้องสอนนิสิตเช้าเย็นทุกวัน”

"ผ่านไปอาทิตย์เดียว ร่างกายผมล้ามาก สอนเสร็จผมกลับคอนโดแล้วนอนเลย หลับยาวตื่นเช้ามาสอน มันเพลียมาก สอนเสร็จผมไม่อยากออกไปไหนเลย”

“ตอนที่ทำงาน 7 วัน ผมรู้สึกว่าผมยังอายุไม่ถึง 40 เลยนะ ทำไมร่างกายมันล้าขนาดนี้  ผมคิดเลยว่าต้องออกกำลังกาย แล้วกีฬาอะไรดีที่มันทำคนเดียวได้ ไม่ต้องพึ่งพาใคร เพราะเคยจะตีแบดกับนิสิต เดี๋ยวผมว่าง เขาไม่ว่าง เลยไม่ได้ตีสักที ก็เลยคิดว่างั้นวิ่งนี่แหละตอบโจทย์ที่สุด”

 

ข้อ 5

ถ้าตั้งใจจะวิ่งจริงจัง ต้องอย่ารีบเร่ง

“วันแรกผมเริ่มวิ่งที่สนามนี้ (สนามอินทรีจันทรสถิตย์) แหละ แต่วิ่งได้รอบเดียวแล้วกลับบ้านเลย (หัวเราะ)”

ฟังดูแปลก แต่หมอสัตว์เลือกรักษาอาการเหนื่อยล้าจากการทำงาน ด้วยการพาตัวเองไปสับเท้าอยู่บนลู่วิ่ง วิ่งแบบไม่วอร์ม วิ่งแบบไม่คูลดาวน์ พฤติกรรมทำนองนี้ ในวงการวิ่งถือว่ามีความผิดเทียบเท่าโทษประหาร

“เมื่อก่อนผมผอมกว่านี้ น้ำหนักประมาณ 60 กว่า เหมือนหนังหุ้มกระดูก แต่เรื่องความแข็งแรง ความฟิตพอได้อยู่ เราแค่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน วันแรกเลยวิ่งได้แค่รอบเดียวไง (หัวเราะ) แต่ผมไม่ยอมแพ้ วันที่สองก็มาอีก”

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

“แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมไม่มี know how เชื่อไหม มาถึงผมวิ่งเลยไม่วอร์ม มาถึงวิ่งแล้วก็กลับ ผมซื่อถึงขั้นเข้าใจว่ารองเท้าผ้าใบก็ใส่วิ่งได้ ผมเลือกซื้อคู่ที่ราคาถูก ซึ่งมันก็ไม่มีเอฟเฟกต์กับร่างกายเลยนะ ไม่กัดเท้า แต่ที่ผมไม่มั่นใจคือตัวเองจะวิ่งจริงจังแค่ไหน”

ช่วงที่หนุ่มประจวบฯ เริ่มออกวิ่ง เป็นช่วงเดียวกับที่เทรนด์วิ่งมาแรง มีคนเปิดคอร์สสอนพิชิตมาราธอนมากมาย โดยวิธีการคือโค้ชจะส่งโปรแกรมซ้อมมาให้ นักเรียนต้องวิ่งตามนั้น ฝนตกแดดออก ก็ต้องทำตามโปรแกรมซ้อมให้ได้ ท่องไว้ มาราธอน มาราธอน...

หมอโอ๊ตเคยคิดจะลงคอร์สพิชิตมาราธอน แต่เมื่อถามโค้ชว่าถ้าไม่สามารถส่งการบ้านได้ทุกวัน เพราะมีภาระเรื่องงานสอน โค้ชโอเคไหม แน่นอน-ไม่ เขาจึงคิดว่างั้นขอฝึกด้วยตัวเอง ไม่ถูกบังคับให้วิ่ง และยืดหยุ่นได้

“พอถูกบังคับแล้วผมจะไม่มีความสุขกับการวิ่ง ผมเรียนรู้การวิ่งจากหลาย ๆ คน ทั้งที่เจอกันในสนามซ้อม หรือดูตามยูทูบ ดูแล้วเอามาปรับให้เข้ากับสรีระตัวเอง”

เมื่อวิ่งไปถึงจุดนึง นักวิ่งจะรู้เองว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น วิ่งได้อึดขึ้น ควบคุมการหายใจได้ หลับลึกเต็มอิ่ม หรือที่เขาเรียกกันว่า ‘วิ่งจนเข้าเส้น’ และถ้าใครมาสู่จุดนี้แล้ว เช็กลิสต์ต่อไปคือลงงานวิ่ง ทีนี้แหละจะรู้เลยว่าจะยังมีความสุขในการ (ซ้อม) วิ่งอยู่ไหม

 

ข้อ 6

หากใคร่พิชิตมาราธอน เคล็ดลับคือซ้อมให้ถึง

ก่อนไปดูว่าหมอโอ๊ตสร้างวินัยในการซ้อมอย่างไร เราไปดูโปรไฟล์หมอสัตว์นักวิ่งผู้นี้กันสักหน่อย ที่บ้านมีเหรียญรางวัลอะไรห้อยอยู่บ้าง เอาแค่งานที่เป็นไฮไลต์ เพราะถ้าใส่หมดทุกงานคงจะกินเนื้อที่หน้ากระดาษแน่ ๆ

โอซาก้ามาราธอน 42.1 กม.

บางแสนมาราธอน 42.1 กม. (4 ครั้ง)

บุรีรัมย์มาราธอน 21 กม. (3 ครั้ง)

สุพรรณบุรีเมืองเหน่อมาราธอน 21 กม. (2 ครั้ง)

จอมบึงมาราธอน 21 กม. (2 ครั้ง)

เมื่อเปลี่ยนมาเป็นนักกีฬาอาวุโสของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อาจารย์โอ๊ตก็คว้าเหรียญไปนอนจูบแยะมาก เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ในการแข่งขันกีฬาบุคลากร มหาวิทยาลัยแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 41 ณ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ. นครศรีธรรมราช

เหรียญทอง วิ่ง 100 เมตร (อายุ 50-54 ปี)

เหรียญทอง วิ่ง 200 เมตร (อายุ 50-54 ปี)

เหรียญทอง วิ่ง 400 เมตร (อายุ 50-54 ปี)
เหรียญทอง วิ่งผลัด 4x100 เมตร (อายุ 50-54 ปี)

เหรียญทอง วิ่งผลัด 4x400 เมตร (อายุ 50-54 ปี)

ย้อนกลับไป หลังจากซ้อมวิ่งมาสักพัก หมอโอ๊ตได้รับคำชักชวนจากรุ่นน้องให้ลงงานวิ่ง ระยะ 5 กิโล รุ่นน้องบอกว่าเขาจะได้มีเป้าหมายในการวิ่ง พร้อมให้เคล็ดลับมาด้วยว่าควรซ้อมให้ได้สัก 80% ของระยะทางจริง นับถอยหลัง 3 เดือน หมอโอ๊ตจึงใช้เวลาหลักเลิกงานซ้อมวิ่งอย่างมีเป้าหมาย

“จบงานแรกผมตั้งโจทย์ให้ตัวเองใหม่ ต้องไม่ใช่แค่วิ่งจบ แต่วิ่งยังไงให้จบโดยที่เราไม่หยุดพัก”

เมื่อติดใจในชัยชนะ หมอโอ๊ตจึงปรับโปรแกรมการซ้อม ขยับจากวิ่ง 5 กม. เป็น 10 กม. เมื่อระยะทางมากขึ้น หมอโอ๊ตใช้วิธีวิ่งรอบสนามอินทรี 25 รอบ ซ้อมจนมั่นใจก็ไปลงงานวิ่ง จากนั้นเพื่อนก็มาชวนไปลงงานวิ่ง 21 กม. และก็มาถึงด่านมหาโหดอย่างฟูลมาราธอน (42.195 กิโลเมตร)

“ผมลองสมัครสองรายการ โตเกียวมาราธอน โอซาก้ามาราธอน ปรากฏว่าได้ที่โอซาก้า ผมมีเวลาเตรียมตัว 4 เดือน เค้าก็บอกกันว่าถ้าอยากวิ่งฟูลแบบสบาย ๆ เวลาซ้อมแค่ 4 เดือนยังไม่พอ ต้องอย่างน้อย 6 เดือน

Osaka Marathon (ภาพประกอบบทความ)

ก่อนบินไปแข่ง Osaka Marathon หมอโอ๊ตซ้อมวิ่งจนมีอาการบาดเจ็บที่ขา แต่ก็ไม่ยอมทิ้งตั๋ว บินลัดฟ้าไปถึงญี่ปุ่น แม้จะยังเดินไม่สมบูรณ์ 100% เมื่อเพื่อนคนญี่ปุ่นเห็นจึงทักว่า “ยูวิ่งไม่จบหรอก ขนาดเดินยังไม่ถนัดเลย” สุดท้าย หมอโอ๊ตจบโอซาก้ามาราธอนด้วยเวลา 5 ชั่วโมงกว่า ๆ

“ฟูลมาราธอน 30 กิโลแรกจะทรมานมาก ถ้าใครซ้อมไม่ถึง 10 กิโลที่เหลือเป็นการทรมานร่างกายสุด ๆ ดังนั้น มันต้องใช้เวลาเตรียมตัวค่อนข้างเยอะ ผมเลยมาซ้อมใน ม.เกษตร หรือซ้อมที่สวนรถไฟ เพื่อเก็บระยะ 30 กิโลให้ได้ อย่างน้อย 3 ครั้งก่อนไปลงวิ่งระยะฟูลมาราธอน พอทำสำเร็จ เราอยากให้เวลาฟูลมาราธอนดีกว่านี้”

หมอโอ๊ตเล่าว่าใช้เวลาพักจากฟูลมาราธอนครั้งแรกถึง 2 ปี แล้วฟื้นฟูร่างกายใหม่ จนร่างกายกลับมาฟิตเต็มที่ จึงร่อนใบสมัครไปที่บางแสนมาราธอน ระยะทาง 42.1 กม. มาราธอนหนนี้หมอโอ๊ตวิ่งเข้าเส้นชัยไปด้วยเวลา 3 ชั่วโมง 50 นาที เป็นสถิติที่ดีที่สุดของตัวเองและยังไม่ถูกทำลายลง


ข้อ 7

และต้องซ้อมแบบฟังเสียงร่างกายตัวเองด้วย

ว่ากันว่านักวิ่งย่อมเสพติดการวิ่ง ใน 1 เดือน เขาลงงานวิ่ง 4 ครั้ง อาทิตย์ละครั้ง โดยมากแล้ว งานวิ่งจะจัดในวันอาทิตย์ วิ่งเสร็จวันจันทร์เริ่มซ้อมต่อเพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับรายการวิ่งถัดไป

และอย่างที่บอก หมอโอ๊ตเป็นนักวิ่งที่ไม่มีความรู้เชิงเทคนิคเลย โชคดีที่ 2 ปีแรกที่กระหน่ำวิ่ง แต่ร่างกายยังไม่ส่งสัญญานเตือน พอเข้าปีที่ 3 เขาลงงานวิ่ง 21 กม. วิ่งไปจนจบ หลังจากเข้าเส้นชัย เกิดอาการเสียวแปร๊ปที่ขา จนพบว่ากระดูกหน้าแข้งร้าว

"กล้ามเนื้อหน้าแข้งผมมันตึง ปกติกล้ามเนื้อ มันจะมีจุดเกาะที่กระดูก เช่น กล้ามเนื้อที่บริเวณน่อง จะมีจุดเกาะที่ส่วนบนกับส่วนปลายของกระดูกหน้าแข้ง พอกล้ามเนื้อตรงกลางหดตัว มันจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนปลายนี้ตึง ซึ่งมันเป็นแผ่นพังผืดที่ติดกระดูก พอมันรั้งเรื่อย ๆ มันทําให้บริเวณนี้เกิดการอักเสบ แล้วเนื้อกระดูกตรงนี้มันก็จะนิ่มลง มันเลยร้าว”

“ผมเลยต้องหยุดพักไป 6-7 เดือน เพื่อรอให้กระดูกมันเชื่อม ตอนนั้นเราคิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณกระดูกหน้าแข้งแข็งแรงขึ้น รวมทั้งกล้ามเนื้อส่วนอื่น ๆ ของร่างกายเพื่อให้การวิ่งพัฒนาขึ้นและลดการบาดเจ็บจากการวิ่ง ก็เลยเริ่มเวทเทรนนิ่งร่วมด้วย”

ฟังดูจะมีความหวังแล้ว แต่ปรากฏว่าอีก 2 ปีต่อมา กระดูกหน้าแข้งหมอโอ๊ตร้าวที่เดิมอีกครั้ง แต่คนละข้าง

หมอโอ๊ตเล่าว่านักกีฬาต้องมีโปรแกรมซ้อมที่ดี และหาเวลาพักผ่อนให้ตัวเอง หมอโอ๊ตเคยมีอาการที่เรียกว่า over-training เขาอธิบายว่ารู้สึกเหมือนเป็นไข้ ตัวร้อน รู้สึกกระสับกระส่ายเวลานอน ประสิทธิภาพการวิ่งลดลง นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาเปลี่ยนโปรแกรมการซ้อมใหม่ทั้งหมด และเปลี่ยนวิธีวิ่งด้วย

ตารางซ้อมของสัตวแพทย์ทุกวันนี้คือ จันทร์ พุธ ศุกร์ ซ้อมวิ่ง อังคารและพฤหัสบดี เล่นเวท สลับกันไป และในพาร์ทการเล่นเวท เขาจ้างเทรนเนอร์เข้ามาช่วยดูแลทั้งการออกกำลังกาย อาหารการกิน และจากที่วิ่งระยะยาวมาอย่างโชกโชน จรวดทางเรียบผู้นี้ก็หันมาเอาดีด้านการวิ่งระยะสั้นแทน

“เรียกว่าจับพลัดจับผลูก็ได้ หลายปีมานี้ ผมเป็นนักกีฬาอาวุโสของมหาวิทยาลัย ช่วงแรก ผมก็วิ่งระยะ 800 เมตร 1,500 เมตร ไปจนถึง 3,000 เมตร แล้วก็ถูกชักชวนให้มาร่วมทีมวิ่งผลัด 4x100 บ้าง 4x400 บ้าง ซึ่งผมไม่เคยวิ่งระยะสั้นมาก่อน ที่ผ่านมาวิ่งแต่ระยะไกล”

บทเรียนจากหัวใจที่เต้น 220 ครั้ง/นาที ของหมอโอ๊ต ผู้พิชิต 5 มาราธอน

“และการวิ่งผลัด ทุกไม้สำคัญเท่ากัน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มซ้อมวิ่งระยะสั้น ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ว่าคนอื่นทำมาดีแล้วมาเสียที่เรา ผมไม่อยากเป็นตัวถ่วงทีม (หัวเราะ) พอเริ่มฝึกมาเรื่อย ๆ ก็ชักสนุก เราก็ทำได้นี่หว่า ในระยะ 100 เมตร ช่วงแรกผมใช้เวลาประมาณ 16-17 วินาที แต่พอซ้อมมาเรื่อย ๆ ตอนนี้ลดมาเหลือ 12 วินาที”

“ตอนนี้เวลาซ้อมวิ่งผมก็จะเน้นไปที่ความเร็ว ไม่ได้ซ้อมวิ่งระยะไกลมากเท่าเมื่อก่อนแล้ว ในแต่ละวันผมจะฝึกความเร็วในระยะสั้น เช่น 100 เมตร 200 เมตร เป็นระยะสั้น ๆ แต่หลายรอบหน่อย”

 

ข้อ 8

ร่างกายคืออนิจจัง ชีวิตคือทุกขัง ความเปลี่ยนแปลงคืออนัตตา

ว่ากันว่ายิ่งตำแหน่งสูง ยิ่งมีเรื่องเครียด (ถ้าจัดการไม่ได้) หมอโอ๊ตก็หนีไม่พ้นความเครียดจากการทำงาน สิ่งแวดล้อมรอบตัว เกิดภาวะความเครียด วิตกกังวลถึงขั้นนอนไม่หลับ ด้วยความเป็นหมอจึงกลั้นใจไม่กินยานอนหลับ และหันพึ่งพุทธศาสนา

“ผมสงสัยว่าเราจะเอาหลักพุทธมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร เลยตัดสินใจไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งหนึ่งที่จังหวัดฉะเชิงเทรา 7 วัน 6 คืน เชื่อไหม ไม่มีใครคิดว่าผมจะอยู่ได้ เพราะโดยนิสัยแล้วผมค่อนข้างแอคทีฟ”

“วัดให้นั่งสมาธิ 20 นาที 3 วันแรกผมนั่งไม่ได้เลย แอบไปหลับในห้องน้ำ แล้วเจ้าหน้าที่วัดแนะนำให้ลองนั่งลืมตาดู จากนั้นลองหลับตา และผมก็สามารถนั่งสมาธิได้ต่อเนื่อง ผมเอาโหมดนี้มาใช้กับการวิ่งด้วย”

หมอโอ๊ตเล่าว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการนั่งสมาธิคือ มีปุ่มโหมดนิ่งให้กด ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มี ออกจะเป็นคนหัวร้อนง่ายด้วยซ้ำ ในการทำงาน ใครแรงมา แรงกลับคืนเท่ากัน แต่ตอนนี้จิตใจนิ่งเหมือนคลื่นสงบ ที่พัดมาแล้วเดี๋ยวก็ซาไป

เมื่อช่วงต้นปี หมอโอ๊ตเพิ่งผ่านเหตุการณ์สำคัญ ที่ฟังดูแล้วเป็นธรรมะสุด ๆ ไปเลย นั่นคือการเข้าใจว่าชีวิตมีวันหมดอายุ เขาซ้อมวิ่งตามปกติ แต่รู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วผิดปกติจนทำให้รู้สึกเหนื่อยไม่สามารถวิ่งต่อได้ ซึ่งอาการนี้เคยเกิดขึ้นมา 1-2 ปีก่อนหน้านี้ แต่นาน ๆ ครั้ง คิดว่าน่าจะเกิดจากการพักผ่อนน้อย ซ้อมหนัก

จนปีนี้พบว่าอาการเกิดบ่อยขึ้นและรู้สึกเพลียหลังจากที่หัวใจกลับมาเต้นปกติ จึงไปปรึกษาหมอหัวใจแต่ไปตรวจแล้วก็ไม่พบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) หมอแนะนำให้ลองติดเครื่องบันทึกคลื่นไฟฟ้าหวใจไว้กับตัว 2 วัน แล้วใช้ชีวิตตามปกติ

“ณ วันที่เครื่องอ่านได้ หัวใจผมเต้น 220 ครั้งต่อนาที นาน 3 ชั่วโมง ถ้าเป็นคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายน่าจะน๊อคคาสนามไปแล้ว” หมอโอ๊ตเล่าพลางเอามือจับที่หน้าอกตรงหัวใจ

หมอด้านหัวใจวินิจฉัยอย่างละเอียดพบว่าหมอโอ๊ตมีภาวะหัวใจห้องบนเต้นเร็วผิดปกติ (Paroxysmal Supraventricular Techycardia; PSVT) เนื่องจากกระแสไฟฟ้าจากหัวใจห้องล่างซ้าย ย้อนขึ้นไปห้องบนซ้าย ทำให้หัวใจห้องบนถูกกระตุ้นอยู่ตลอดเวลา ให้ตายเถอะคุณพระช่วย ! หัวใจคนปกติตอนวิ่งมากสุดก็อยู่แถว ๆ 120-130 ครั้งต่อนาทีแค่นั้นเอง...

เมื่อรู้สาเหตุความผิดปกติที่หัวใจแล้ว ก็มาสู่ขั้นตอนการรักษาด้วยการใช้วิธีจี้ไฟฟ้าโดยการสวนจากหลอดเลือดบริเวณขาหนีบ สิ่งที่หมอโอ๊ตกังวลไม่ใช่เรื่องของเทคนิคการรักษา แต่กลับเป็นเรื่องของโปรแกรมการแข่งวิ่งที่มีเวลาเหลืออีกแค่ 1 เดือน จึงขอนัดหมอเร็วที่สุดเพื่อให้หายทันไปแข่งวิ่ง

“หมอแนะนำให้หยุดวิ่งอย่างน้อย 1-2 เดือนหลังการสวนหลอดเลือด เพื่อให้แผล (ตรงขาหนีบ) ปิดให้สนิท ผมก็ฟังนะ แต่พอ 3 อาทิตย์ผมก็มาลองวิ่งจ็อกเบา ๆ  สงสัยว่าถ้าเรายืดขาให้มันกว้างขึ้น มันจะมีผลอะไรกับหลอดเลือดไหม”

“และผมแอบไปแข่งวิ่งโดยไม่บอกหมอ ตอนไปแข่งก็พกเอกสารการรักษาทั้งหมดใส่กระเป๋าไปด้วย  บอกคนในทีมว่าถ้าผมเป็นอะไร ให้เอาอันนี้ให้หมอที่โรงพยาบาลดู”ผมสามารถคว้า 2 เหรียญทองและ 1 เหรีญทองแดง ความดีใจนอกจากการได้เหรียญรางวัลแล้วเรายังได้ช่วยให้ทีมวิ่งผลัดได้เหรียญรางวัลด้วย เพราะเรารู้ว่าทุกคนในทีมก็ตั้งใจซ้อมมา

ดูแล้ว การวิ่งในครั้งนี้ หมอโอ๊ตไม่ได้พกแค่เอกสารทางการแพทย์ แต่ยังพกความเชื่อมั่นในตัวเอง และความเข้าใจในสัจธรรมไปด้วย “อาจจะธรรมะด้วย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” 

 

ข้อ 9

เคล็ดลับข้อสุดท้าย...

อ่านมาถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่ามีหลายคนอยากจะปิดมือถือ แล้วคว้ารองเท้าไปวิ่งเดี๋ยวนี้เลย ถ้าเรามาย้อนความกันอีกครั้ง หมอโอ๊ตเคยเป็นเด็กที่ต่อสู้กับระบบการศึกษานอกกรุงเทพฯ จนสามารถสอบเข้าคณะสัตวแพทย์ ที่มอบความมั่นคงให้กับชีวิต และใช้วิชาชีพรักษาอีกหลายชีวิต...

เขาสร้างวินัยให้ตัวเอง ตั้งแต่การแบ่งเวลาอ่านหนังสือ เวลาซ้อมวิ่ง การสร้างวินัยจนกลายเป็นกิจวัตรนั้นดูจะทำได้ยากเหลือเกิน ในยุคที่การทำงานโหดหินขึ้น ไม่มี work life balance และถูกรุมเร้าจากปัญหาสังคมอยู่ทุกวัน

หรือบางที...การหางานอดิเรกที่ชุบชูใจทำ-วิ่ง เดินทาง หรือดูหนังที่ไม่เคยดู? อาจพอช่วยบรรเทาเราจากความโกลาหลที่กำลังก่อตัวอยู่ในตอนนี้ได้ หรือแม้แต่สร้างมุมดี ๆ ให้เรานึกถึงเมื่อเจอเรื่องที่ไม่ดั่งใจ การวิ่งเปลี่ยนหมอโอ๊ตในหลาย ๆ เรื่อง...

“ตั้งแต่เริ่มวิ่งและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง อย่างแรกที่เห็นชัดคือ การเจ็บป่วยในแต่ละปีน้อยมาก แน่นอนการออกกำลังกายทำให้แข็งแรง แต่สิ่งที่แถมมาด้วยคือสภาวะอารมณ์ เราควบคุมมันได้ดั่งใจ”

“ระหว่างที่วิ่ง ไอเดียในการทำงานมันก็โผล่มาเอาดื้อ ๆ ผมเป็นอาจารย์ ต้องเขียนเปเปอร์ บางทีก็เขียนไม่ออก พอวิ่งอยู่ มันโผล่มาเดี๋ยวนั้นเลย เฮ้ย...ส่วนนี้น่าจะเขียนแบบนี้ ผมก็จะจดไอเดียไปทำต่อ เกิดเหตุแบบนี้หลายครั้งมาก”

เรื่องสุดท้ายที่อยากจะฝากไว้บนหน้ากระดาษคือ ไม่ว่าคุณกำลังเจอปัญหาใด ความผันผวนทางเศรษฐกิจ หน้าที่การงาน ความรัก และอีกสารพันอย่าง จนเกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าบิดออกนอกกรอบ ทำสิ่งที่ไม่คิดว่าจะทำ เคล็ดลับข้อสุดท้ายคือ ลองสู้กับความกลัวนั้นดูก็ไม่เสียหาย...

“ตอนประถม โรงเรียนมีกีฬาสี แล้วมีการคัดนักกีฬาวิ่งแข่ง เราก็ไปร่วมคัดด้วย ปรากฏว่าวันนั้นเราวิ่งได้ที่โหล่ คือได้ที่โหล่ไม่เสียใจเท่าไหร่นะ แต่วันนั้นญาติมาดูเต็มเลย พอเราแข่งแพ้เขาก็พูดกันว่า ไอ้โอ๊ต...ได้ที่โหล่ สนุกสนานกัน ตั้งแต่นั้นมาเราไม่อยากแข่งอะไรกับใครอีกเลย”

แล้วคุณล่ะครับ หัวใจของคุณกำลังเต้นเพื่ออะไร...

 

เรื่อง: วงศกร ลอยมา

related