Gen Z อเมริกัน แห่กลับเข้าโรงภาพยนตร์ 6.1 เรื่อง/ปี ชี้ดูหนังถูกกว่าไปดื่ม

Gen Z ดูหนังในโรงภาพยนตร์เฉลี่ย 6.1 เรื่องในปีนี้ เนื่องจากต้องการตัดขาดจากมือถือและดื่มด่ำกับประสบการณ์ออฟไลน์ รวมถึง มองว่าภาพยนตร์คือตัวเลือกที่คุ้มค่าและมอบความพึงพอใจที่คงที่ในปีนี้ จำนวนผู้เข้าชมโรงภาพยนตร์ในกลุ่มคนหนุ่มสาวในสหรัฐอเมริกาเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะเงินเฟ้อทำให้ค่าใช้จ่ายในการออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านและการออกไปสังสรรค์ตามบาร์สูงขึ้น โรงภาพยนตร์จึงกลายเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นของระบบสมาชิก (Membership) โรงภาพยนตร์ที่ช่วยให้สมาชิกชมภาพยนตร์ได้หลายเรื่องต่อเดือนในราคาค่าธรรมเนียมรายเดือน ก็ล้วนมีส่วนส่งผลในเชิงบวกเช่นกัน

"Gen Z อเมริกันหวนคืนสู่โรงภาพยนตร์"

“Cinema United” สมาคมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอเมริกา เผยแพร่รายงานผลการศึกษาเรื่อง "ความแข็งแกร่งของการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์" เมื่อไม่นานมานี้ โดยระบุว่า คนรุ่น Gen Z ดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์เฉลี่ยอยู่ที่ 6.1 เรื่องในปีนี้ เพิ่มขึ้นจาก 4.9 เรื่องในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ 41 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามจากกลุ่มคนรุ่น Gen Z ยังกล่าวว่าไปโรงภาพยนตร์อย่างน้อย 6 ครั้งต่อปี เพิ่มขึ้นจาก 31 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2022

แนวโน้มของคนรุ่น Gen Z ที่ให้คุณค่ากับประสบการณ์ออฟไลน์ สะท้อนออกมาเป็นจำนวนการเข้าชมโรงภาพยนตร์ที่เพิ่มขึ้น โดยนิตยสาร Business Insider นิตยสารธุรกิจของสหรัฐฯ วิเคราะห์ว่า คนรุ่น Gen Z ต้องการประสบการณ์ออฟไลน์ สภาพแวดล้อมที่สามารถตัดขาดจากโทรศัพท์ และเป็นพื้นที่ที่ 3 ที่สามารถใช้เวลาอยู่นอกบ้านและที่ทำงาน พร้อมเสริมว่า สิ่งนี้กำลังผลักดันให้กลุ่มคนรุ่นดังกล่าวกลับไปดูหนังในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง

โปรแกรมสมาชิกโรงหนัง : ตัวแปรสำคัญ

การขยายตัวของระบบสมาชิกโรงภาพยนตร์ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน เห็นได้จากเครือโรงภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง AMC ให้บริการระบบสมาชิก "Stubs A-List" โปรแกรมสมัครสมาชิกรายเดือนราคาประมาณ $20 ถึง $30 (ประมาณ 625 - 935 บาท) โดยสมาชิกสามารถชมภาพยนตร์ได้สูงสุดถึง 4 เรื่องต่อสัปดาห์ และเนื่องจากผู้สมัครใช้บริการสามารถดูหนังได้หลายเรื่องโดยจ่ายเพียงค่าสมาชิกรายเดือน โปรแกรมนี้จึงกลายเป็นตัวเลือกที่จ่ายไหวสำหรับคนรุ่นใหม่

นิตยสาร Business Insider ยังตั้งข้อสังเกตว่า ระบบสมาชิกได้สร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยให้ผู้ชมรุ่นใหม่สามารไปโรงภาพยนตร์ได้บ่อยขึ้น ในยุคที่ข้าวยาหมากแพง แม้ระบบนี้อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกที่สุด แต่การเป็นสมาชิกโรงหนังถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล ในขณะที่ราคาค็อกเทลและไวน์พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ และ พิซซ่าราคา 1 ดอลลาร์ ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของความประหยัดได้หายไปแล้ว แต่ในทางกลับกัน ภาพยนตร์ได้กลายเป็นรูปแบบการบริโภคที่มอบความพึงพอใจอันคงที่ในราคาที่คาดการณ์ได้

บ็อกซ์ออฟฟิศเกาหลีซบเซา ปีนี้ไร้เงา "หนัง 10 ล้านผู้ชม"

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในเกาหลีใต้นั้นกลับต่างออกไป โดยจำนวนผู้ชมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยรายงาน อุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลีครึ่งแรกปี 2025 ของสภาภาพยนตร์แห่งเกาหลี (KOFIC) ที่ระบุว่า รายได้จากโรงภาพยนตร์ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ 4.07 แสนล้านวอน (ราว 8,760 ล้านบาท) และจำนวนผู้ชมรวมอยู่ที่ 42.5 ล้านคน ลดลง 33.2 เปอร์เซ็นต์ และ 32.5 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

ภาวะซบเซาของภาพยนตร์เกาหลีเห็นได้ชัดเป็นพิเศษ ในช่วงเวลาเดียวกัน รายได้จากภาพยนตร์เกาหลีลดลง 43.1 เปอร์เซ็นต์ ลดลง 1.54 แสนล้านวอน (3,320 ล้านบาท) เหลือ 2.03 แสนล้านวอน (4,375 ล้านบาท) ขณะที่จำนวนผู้ชมภาพยนตร์เกาหลีลดลง 42.7  เปอร์เซ็นต์ จาก 15.94 ล้านคนเหลือ 21.36 ล้านคน

ตัวเลขที่ลดลงเป็นผลมาจาก 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ พฤติกรรมการบริโภคคอนเทนต์ผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง (OTT) อย่าง “Netflix” แทนการไปโรงภาพยนตร์ และการทำผลงานได้น่าผิดหวังของภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เคยถูกคาดหวังไว้ เห็นได้จากการที่ในปีนี้ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดเลยที่สามารถทำยอดผู้ชมทะลุ 10 ล้านคน ถือว่าแตกต่างกับแนวโน้มในช่วงหลังยุคโควิด-19 อย่างสิ้นเชิง ที่มักจะมีหนังทำเงินถล่มทลายอย่างน้อยปีละหนึ่งเรื่อง เช่น The Roundup 2 & 3, 12·12: The Day และ Exhuma เป็นต้น

 ที่มา: The Asia Business Daily

https://cm.asiae.co.kr/en/article/2025122616200652552

Credit ภาพ: Reuters