เป็นข่าวที่สร้างความช็อกไปทั้งญี่ปุ่น! นักข่าวสาวญี่ปุ่นทำงานหนัก โอทีวันละ 6 ชม. หยุด 2 วันต่อเดือน สุดท้ายหัวใจวายตาย

NHK สื่อญี่ปุ่นรายงาน น.ส.มิวะ ซาโดะ ผู้ประกาศข่าวสาวชาวญี่ปุ่นวัย 31 ปี สังกัดสถานีโทรทัศน์ NHK เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลว หลังจากเธอทำงานหนักเกินเหตุ โดย NHK ระบุว่า เธอลาหยุดเพียงแค่ 2 วันต่อเดือนและทำงานล่วงเวลามากถึง 159 ชั่วโมงในหนึ่งเดือน เฉลี่ยแล้วเธอทำโอทีวันละเกือบ 6 ชั่วโมง แต่ NHK เพิ่งมาเปิดเผยเรื่องนี้ ทั้งๆที่เธอเสียชีวิตไปตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2556 หรือ 4 ปีที่แล้ว ทั้งนี้เพราะพ่อแม่ของซาโดะเรียกร้องให้สถานีเปิดเผยเรื่องราวของซาโดะเพื่อเป็นกรณีตัวอย่าง และไม่อยากให้ใครต้องมาเสียชีวิตเพราะทำงานหนัก

NHK บอกว่าซาโดะเป็นผู้ประกาศที่เชี่ยวชาญทางด้านการเมืองและทำข่าวเกี่ยวกับรัฐบาลท้องถิ่นของกรุงโตเกียว เธอเข้าทำงานที่ NHK เมื่อปี 2548 ที่สำนักข่าวย่อยในจังหวัดคาโกชิมะ จากนั้นจึงย้ายมาทำงานที่สำนักงานกรุงโตเกียวในเดือนกรกฎาคม ปี 2553 เธอรับผิดชอบข่าวเกี่ยวกับรัฐบาลท้องถิ่นกรุงโตเกียวได้ 3 ปี จากนั้นเธอก็เสียชีวิตหลังเสร็จสิ้นการทำข่าวเลือกตั้งท้องถิ่น

หลังจากที่ข่าวการเสียชีวิตของซาโดะถูกเผยแพร่ออกไป ข่าวนี้สร้างความตกตะลึงและช็อกไปทั้งประเทศญี่ปุ่น เพราะสะท้อนชีวิตจริงของชาวญี่ปุ่นที่ทำงานหนักกันเป็นส่วนใหญ่ ตัวแทนจากสำนักข่าว NHK กล่าวว่า การเสียชีวิตของซาโดะสะท้อนปัญหาของระบบแรงงานและวัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่น ซึ่งในญี่ปุ่นเรียกว่า “โรคคาโรชิ-Karoshi” หรือโรคบ้างาน มักเกิดในคนที่ทำงานล่วงเวลาเกิน 80 ชั่วโมงต่อเดือน

กรณีคล้ายๆกันนี้เคยเกิดขึ้นในญี่ปุ่นมาแล้วเมื่อปี 2015 เมื่อพนักงานสาวชาวญี่ปุ่น ทำงานเป็นเอเจนซี่โฆษณาให้กับบริษัทเดนสึ (Dentsu) เธอฆ่าตัวตายหลังจากเธอต้องกรำงานหนัก ทำโอทีมากกว่า 100 ชั่วโมงต่อเดือน ซึ่งศาลโตเกียวของญี่ปุ่นเพิ่งตัดสินคดีไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้วและสั่งปรับบริษัทเดนสึเป็นเงิน 1,500,000 บาท สำหรับความผิดที่ปล่อยให้พนักงานทำงานหนักเกินไป สำหรับกรณีของซาโดะ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ขณะที่ประธานบริษัท NHK ได้เข้าพบพ่อและแม่ของซาโดะแล้ว และได้กล่าวคำขอโทษ

สถิติปัจจุบัน ในแต่ละปี ประเทศญี่่ปุ่นจะมีคนฆ่าตัวตายจากการทำงานหนักและความเครียดราว 2,000 คน รัฐบาลญี่ปุ่นจึงกำลังรับมือกับเรื่องนี้อย่างจริงจังเช่น การมีนโยบายรณรงค์ให้มนุษย์เงินเดือนเลิกงานเร็วกว่าปกติในวันศุกร์

ขอบคุณเรื่อง จาก AFP และ CNN Money 

ขอบคุณภาพ จาก ANN News และ CNN Money