อย่างกับหนังคนละม้วน! ลูกสาว อบต.โต้เดือดแม่ค้าเริ่มหาเรื่อง-ปาของใส่ก่อน เหตุรถชนเกือบชนกันตรงปากซอย

วันที่ 12 ต.ค.60 จากกรณีที่แฟนเพจเฟซบุ๊ก “แหม่มโพธิ์ดำ” ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความเมื่อเวลาประมาณ 17.00 น.ของวันที่ 11 ต.ค.60 ระบุว่า “แม่ค้าโวยนักการเมืองท้องถิ่นสมุทรสาครสุดกร่าง พังร้านไล่ทุบตีแม่ค้า ฝั่งลูกสาวยืนยันแม่ค้าเล่าไม่หมด ความจริงถูกเอามีดไล่ฟัน มีคลิป”  ตามที่ผู้เสียหายแจ้งเรื่องเข้าไปว่า

“เมื่อวันที่ 29 ก.ย.60 เวลาประมาณ 15.00 น.ระหว่างที่เธอขี่มอเตอร์ไซค์กลับจากรับลูกจากโรงเรียน ได้มีรถเก๋งสีดำ ขับตามหลังมาแบบกระชั้นชิดพร้อมบีบแตรไล่มาตลอดทาง จนมาถึงหน้าร้านส้มตำของเธอ ทั้งคู่ต่างจอดรถ ทางรถเก๋งแล้วกดกระจกลง ผู้หญิงในรถอายุประมาณ 20 กว่าๆ ได้ด่าเธอว่า มองทำไมอีดอก แล้วลงจากรถ วิ่งมาตบตน ทั้งๆที่ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที พ่อ กับ แม่ของผู้หญิงออกมาจากบ้านมา และเข้ามารุมทำร้ายเธอ สุดท้ายเธอหนีออกมาได้ จึงไปแจ้งความที่ สภ. กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร  ขณะนั้นตำรวจให้ไปทำแผลที่ รพ.กระทุ่มแบน ก็มีกลุ่มผู้หญิงหลายสิบคนยกพวกตามมาหาเรื่องที่ รพ.อีก เมื่อทำแผลเสร็จกลับมาที่ร้านก็พบว่าข้าวของในร้านโดนกลุ่มผู้หญิงทำลายเสียหายทั้งหมดค่ะ”

ผู้สื่อข่าวจึงได้ประสานไปยังผู้เสียหายคือ น.ส.วาสนา ทีหัวช้าง เปิดเผยว่า ยังได้บอกว่า ล่าสุดเมื่อวานนี้ (10 ต.ค.60 ) ทางตำรวจได้ประสานให้ตนไปให้ปากคำ ซึ่งทีแรกตนก็จะไปแต่พอตำรวจบอกว่า จะเรียกคู่กรณีมาให้ปากคำพร้อมกัน ตนจึงไม่กล้าไปเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะยกพวกมารอรุมทำร้ายที่หน้าโรงพัก ส่วนเรื่องที่ว่าตนเอามีดไปไล่ฟันคู่กรณีนั้นขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง โดยมีดเล่มนั้นเป็นมีดที่ฝ่ายคู่กรณีนำมาปาใส่ร้านของตน ทุกวันนี้ตนและครอบครัวอยู่กันอย่างหวาดกลัว ไม่กล้าออกไปขายของ

ส่วนสาเหตุที่มีเรื่องกัน ตนคิดว่าน่าจะมาจากความไม่พอใจที่ตนเคยจ่ายเงินค่าดูแลพื้นที่ให้แก่ใครบางคนที่ทางคู่กรณีมีความใกล้ชิดอยู่นั้นไม่ครบตามจำนวนที่เขาต้องการ ส่วนเรื่องที่ต้องออกมาร้องเรียนผ่านเพจดัง ไม่ใช่เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เพราะตนกลัวว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสังคม เนื่องจากพอทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเรียกคู่กรณีไปให้ปากคำพร้อมกับตน ก็กลัวว่าคู่กรณีจะสร้างหลักฐานเท็จขึ้นมาเพื่อให้เป็นพยานกับทางคู่กรณี จนตนกลายเป็นคนผิดและไม่ได้รับความเป็นธรรมจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ส่วนทางด้านของน.ส.เยล (นามสมมติ) คู่กรณีในเพจดัง และ ถูกกล่าวอ้างว่าเป็นลูกสาวของ อบต.นั้น ออกมาเปิดเผยว่า บ้านของตนกับบ้านพักของคู่กรณีอยู่ตรงข้ามกันในวันที่เกิดเหตุ จังหวะที่กำลังจะเลี้ยวเข้าซอยนั้น ผู้เสียหายได้ขี่มอเตอร์ไซค์ย้อนศรมาเกือบจะชนรถตนตรงปากทางที่จะเลี้ยวเข้าซอย ตนจึงบีบแตรเตือนไป 2 ครั้ง แล้วก็ขับตามรถของผู้เสียหายมา แต่น้องชายที่นั่งมาด้วยเห็นว่าผู้เสียหายหันมาตะโกนด่าตน แต่ตนไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งมาถึงหน้าร้านของผู้เสียหายได้จอดรถ จากนั้นผู้เสียหายก็ด่าตนก่อนอีกทั้งเรียกตนด้วยการขึ้นต้นว่าอี  ตนจึงเรียกสรรพนามเดียวกันกลับไป จึงทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทแล้วตบตีกันขึ้น

โดยทางผู้เสียหายนั้นมีสามีออกมาช่วย ส่วนตนตอนแรกมีแค่น้องชาย แต่พอพ่อกับแม่ได้ยินเสียงก็ออกมาห้าม ซึ่งนอกจากตนกับแม่จะโดนอีกฝ่ายทำร้ายด้วยการตบตีแล้ว สามีของผู้เสียหายยังไปคว้ามีดยาวคล้ายเหล็กแหลม มาไล่ฟันพวกตนด้วย จนทุกคนต้องหนีไปคนละทิศคนละทาง แต่ปัญหาก็ยังไม่จบเมื่อพวกตนกลับเข้ามาในบ้าน ทางผู้เสียหายก็ปามีดอีโต้ กับสิ่งของหลายอย่างใส่บ้านตน พวกตนจึงปาสิ่งของกลับไปยังร้านค้า ทำให้ข้าวของแตกกระจาย ส่วนที่หน้าตาของผู้เสียหายมีรอยฟกช้ำเพราะถูกเล็บของตนนั่นเอง

พร้อมทั้งยืนยันว่า ไม่ได้ลงมือทำร้ายผู้เสียหายก่อน และไม่เคยคิดที่จะไปรุมทำร้ายแต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนที่ว่าพ่อของตนเป็น อบต.แล้วกร่างนั้น ก็ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง พ่อของตนไม่ได้ไปทำร้ายหรือทำลายข้าวของของผู้เสียหายแต่อย่างใด เพียงจะออกมาห้ามปรามเท่านั้น  ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้พ่อของตนเสียหายและเครียดเป็นอย่างมาก  ขณะที่ว่าสาเหตุของการทะเลาะจะมาจากเรื่องของการเรียกเก็บเงินค่าดูแลพื้นที่ๆ ผู้เสียหายขายของอยู่นั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะพวกตนไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับผู้เสียหายเลย ส่วนที่ดินตรงนั้นก็เป็นที่วัด ตนไม่มีสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้ตนอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานในวันเกิดเหตุ และจะขอให้ปากคำกับตำรวจ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ตนเองและครอบครัว

ขณะที่ทางด้านของ ร.ต.อ.สมคิด บุญลือ รอง สว.สอบสวน สภ.กระทุ่มแบน ชี้แจงว่า ผู้เสียหายได้มาลงบันทึกประจำวัน และ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาได้มีการนัดผู้เสียหาย และคู่กรณีมาเจรจากัน แต่ทางผู้เสียหายไม่ยอมเข้ามาให้ปากคำโดยได้ขอเลื่อนเป็นอีกวันหนึ่ง พอถึงวันนัดผู้เสียหายก็ไม่มาตามนัดอีก จึงได้โทรสอบถาม ทราบว่าแฟนผู้เสียหายกำลังเจรจากับคู่กรณีเอง แล้วจะเข้ามาให้ปากคำในวันต่อไป แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่ยอมมาให้ปากคำ ซึ่งถ้ายังไม่มาจะออกหมายเรียกต่อไป

สำหรับประเด็นปัญหานี้ ผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร งานนี้ก็คงต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะยุติปัญหาที่เกิดขึ้นแบบไหน ส่วนสังคมต้องรับฟังทั้งสองฝ่าย อย่าเพิ่งตีความว่าใครผิดใครถูก