svasdssvasds

ผู้การฯนครพนม เตรียมออกหมายจับ "ครูจอมทรัพย์-ครูอ๋อง" ฐานเบิกความเท็จ

ผู้การฯนครพนม เตรียมออกหมายจับ "ครูจอมทรัพย์-ครูอ๋อง" ฐานเบิกความเท็จ

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

วันที่ 24 พ.ย.60 พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินคดีกับขบวนการรับจ้างทำผิดแทนในคดีครูจอมทรัพย์ หรือ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครู ชาว จ.สกลนคร กรณีออกมาร้องทุกข์กระทรวงยุติธรรม หลังพ้นโทษจากเรือนจำ ถูกตัดสินจำคุก 3 ปี 2 เดือน ว่าตกเป็นแพะ ในคดีขับรถชนคนตาย เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2548 ในพื้นที่ สภ.นาโดน อ.เรณูนคร จ.นครพนม เพื่อขอรื้อฟื้นคดีใหม่ แต่ศาลฎีกาได้ตัดสินยกคำร้อง เมื่อวันที่ 17 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยได้ยืนคำพิพากษาศาลชั้นต้น และศาลฎีกาเดิม หมายถึงครูจอมทรัพย์ ไม่ได้เป็นแพะ จนกระทั่งตำรวจมีการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ดำเนินคดี กับกลุ่มขบวนการรับจ้างทำผิดแทน เบื้องต้นมีการแจ้งความดำเนินคดีไปแล้ว 7 ราย

โดยมีผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 คน คือ

1.นายสุริยา นวลเจริญ หรือ ครูอ๋อง เพื่อนสนิทครูจอมทรัพย์ และยังมีหลักฐานเป็นบุคคลสำคัญในการตั้งขบวนการรับจ้างทำผิดแทน

2.นายสับ วาปี คนที่ออกมายืนยันว่า เป็นคนขับรถชนตัวจริง

3. นางจัน วาปี ภรรยานายสับ วาปี

4.นายบุญเทิง วาปี

5.นายเลิศ วาปี

6.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานที่ยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์ มีคนขับรถชนเป็นชาย

และ 7.นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร สามีของครูจอมทรัพย์ ซึ่งมีการดำเนินคดีในข้อหาหลัก คือ ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ

ล่าสุด ทางตำรวจได้มีการสอบสวนพยานหลักฐาน ขยายผลเชื่อมไปยังบุคคลสำคัญ จนกระทั่งมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า นางจอมทรัพย์ มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็นในกระบวนการรับจ้างทำผิดแทนตั้งแต่ต้น เนื่องจากคำให้การของ นายสับ 1 ในผู้ต้องหา ออกรับสารภาพยืนยันเชื่อมโยงถึง นายสุริยา หรือ ครูอ๋อง ที่เคยนำเงินสด 170,000 บาท มาให้ นายสับ ไปจ่ายเงินชดเชยในทางแพ่งแก่ญาติผู้ตายที่ศาลจังหวัดนครพนม เพื่ออ้างว่า นายสับ เป็นคนขับรถตัวจริง

ทั้งนี้ ทางตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม มอบหมายให้ พ.ต.อ.ปราโมทย์ อุทากิจ ผกก.สอบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม กล่าวหา นางจอมทรัพย์ และ นายสุริยา เพื่อนสนิท ในข้อหาฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 วรรคสอง ผู้ใดนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดี ถ้าเป็นพยานหลักฐานในข้อสำคัญในคดีนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือบปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญาผู้กระทำต้องระวางโทษไม่เกิน 7 ปี ปละปรับไม่เกิน 14,000 บาท ซึ่งมีการแจ้งความดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่เวลา 16.30 น. วานนี้ (23 พ.ย.) ตามคดีอาญาเลขที่ 828/60

ดังนั้นในขั้นตอนอำนาจของตำรวจ เมื่อเข้าฐานความผิดดังกล่าว ซึ่งมีโทษเกิน 3 ปี ขั้นต่อไปไม่ต้องมีการออกหมายเรียก โดยได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเสนอศาลจังหวัดนครพนม ขออนุมัติออกหมายจับตามกฎหมาย ต่อไปทั้ง 2 ราย ซึ่งถือเป็นผู้บงการสำคัญในขบวนการรับจ้างทำผิดแทน ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหาในฐานความผิดต่างๆ จะต้องรอแนวทางการสอบสวน เพิ่มเติม หลังผู้ต้องหา เข้ามอบตัว หรือมีกามอบตัวรับทราบข้อกล่าวหา หากเข้าข่ายความผิดไหน ในแนวทาง 7 ข้อหา ที่ตำรวจตั้งไว้ จะได้แจ้งเพิ่มเติม และแต่ละคนฐานความผิดจะแตกต่างกันไป แต่ในขั้นตอนเบื้องต้นได้ดำเนินคดีเอาผิด ฐานเบิกความเท็จ และแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ในขั้นต้น ซึ่งต้องมีการพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

 

related