ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
วันที่ 25 พ.ย.60 พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.ศุภกร พันธุ์สุวรรณ รอง ผกก.สืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม ควบคุมตัว ครูจอมทรัพย์ หรือ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครพนม ที่ 218/2560 ฐานความในข้อหา ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในข้อสำคัญในคดี ในการพิจารณาคดีอาญา และซ่องโจร หลังถูกดำเนินคดี เกี่ยวกับการสร้างขบวนการรับจ้างทำผิดในคดีขับรถชนคนตาย รวมถึงมีการขอรื้อฟื้นคดี โดยอ้างว่าตกเป็นแพะ เหตุเกิดตั้งแต่ปี 2548
โดยหลังจากเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมที่บ้านพัก จึงได้คุมตัวมาที่ ศูนย์อำนวยการดำเนินคดีขบวนการรับจ้างทำผิดแทน ในคดีครูจอมทรัพย์ กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เพื่อลงบันทึกจับกุม พิมพ์ลายมือ ผู้ต้องหา ตามขั้นตอนของกฎหมาย ก่อนที่จะมีการสอบสวนข้อเท็จจริง ขยายผลเชื่อมโยงไปยังผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด
ซึ่งในระหว่างที่คุมตัวลงจากรถ พบว่า ครูจอมทรัพย์ มีสีหน้าเศร้า แต่ยังได้ตอบคำถามสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว ว่า "ขอเวลาจะมีการชี้แจงอีกครั้ง" ก่อนตำรวจจะควบคุมตัวขึ้นไปยัง ห้องประชุมชั้น 5 ดำเนินการสอบสวน ตามกระบวนการ ที่มีการตั้งคณะทำงานไว้ จำนวน 7 ชุด เพื่อมีการพิจารณา เกี่ยวข้องข้อหาความผิดต่างๆ ส่วนในวันนี้ มี พ.ต.อ.ธีทัต อิ่มทั่ว รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เป็นประธาน คณะทำงานดำเนินการสอบสวน แต่ยังไม่มีรายงานว่า จะมีการประกันตัว หรือนำตัว ครูจอมทรัพย์ ไปฝากขังในช่วงเวลาใด ต้องรอกระบวนการสอบสวนแล้วเสร็จ
ขณะเดียวกันในส่วนของ บุคคลที่ร่วมขบวนการ ที่ยังไม่มารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหา ยังมีอีก จำนวน 3 ราย คือ
1.นายนิรันดร์ แสนเมืองโคตร สามีครูจอมทรัพย์
2.นางทัศนีย์ หาญพยัคฆ์ พยานในการช่วยเหลือครูจอมทรัพย์
และ 3.นายสุริยา นวลเจริญ หรือครูอ๋อง เพื่อนสนิทครูจอมทรัพย์ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญ ที่มีหลักฐานว่าเป็นผู้บงการจัดตั้งขบวนการรับจากทำผิดแทนครูจอมทรัพย์ โดยศาลจังหวัดนครพนมอนุมัติออกหมายจับครูอ๋องไปเรียบร้อย วานนี้ (24 พ.ย.) และทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปติดตามจับกุมที่บ้านพัก ใน จ.มุกดาหาร แต่ไม่พบตัว
นอกจากนี้ ยังมีผู้ต้องหาอีก 2 คน ที่มีการเข้ามอบตัวแล้ว คือ นายสับ และ นางจัน วาปี 2 สามีภรรยาที่เคยเป็นพยานช่วยเหลือครูจอมทรัพย์ เบื้องต้น ทางตำรวจได้มีการสอบสวน พร้อมแจ้ง 3 ข้อหาหลัก คือ
1.แจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน
2.เบิกความเท็จต่อศาล
และ 3.ความผิดเป็นอั้งยี่และซ่องโจร ส่วนข้อหาอื่นๆ ต้องรอคณะคณะทำงานสอบสวนพิจารณาตามขั้นตอน หากพบเข้าข่ายจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติมภายหลัง