svasdssvasds

คดีดัง! ปี 2560

คดีดัง! ปี 2560

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

คดีดัง! ปี 2560

"วัดพระธรรมกาย พระธัมมชโย" ข้อความที่ไม่เคยหายไปจากหน้าสื่อตลอด 1 ปี แถมด้วยคำฮิต ซึ่งเป็นควันหลงเหนือการควบคุมกระจายทุกวงการนั่นคือคำว่า ชิตังเม โป้ง รวย.!

นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ใช้มาตรา 44 ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. 5/2560 กลางดึกวันที่ 15 กุมภาพันธ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมพื้นที่และให้เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าไปตรวจค้น พร้อมทั้งควบคุมตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา คดีพิเศษที่ 27/2559 โดยถูกกล่าวหาว่า สบคบและร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร

การประกาศใช้มาตรา 44 นำมาสู่การปิดล้อมและเผชิญหน้ากับพระและศิษย์วัดพระธรรมกาย โดยนอกจากเหตุการตรวจค้นจุดต่างๆ ในวัดและพื้นที่ใกล้เคียง ตลอดจนเหตุเผชิญหน้าและการกระทบกระทั่งแล้ว นอกจากนี้ ยังมีผู้เสียชีวิต 2 ราย โดยหนึ่งรายเสียชีวิตเนื่องจากผูกคอตายประท้วงบนเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือเรียกร้องให้ คสช. ยกเลิกการใช้มาตรา 44 และอีกหนึ่งราย เป็นศิษย์วัดที่เสียชีวิตเนื่องจากป่วยด้วยโรคหอบหืดกำเริบ โดยทางวัดแถลงว่ารถกู้ชีพมาไม่ทัน เนื่องจากติดด่าน ขณะที่ดีเอสไอแถลงแก้ข่าวว่ารถกู้ชีพเข้าที่เกิดเหตุได้ภายใน 10 นาที

ภายหลังวันที่ 10 มี.ค. ดีเอสไอแถลงยกเลิกมาตรการปิดล้อมวัดพระธรรมกาย แต่ยังคงตรึงกำลังเจ้าหน้าที่อยู่ โดยระบุว่าเพื่อเฝ้าระวังมือที่สาม จนถึง วันที่ 16 มี.ค. รัฐบาล คสช. ยังคงบังคับใช้มาตรา 44 อยู่ มีการดำเนินคดีแล้ว 46 คดี มีบุคคลถูกออกหมายเรียก 317 คน มีการเรียกบุคคลรายงานตัว 80 คน ในจำนวนนี้เป็นพระสงฆ์ 14 รูป นอกจากนี้ยังถอดพระออกจากสมณศักดิ์ 2 รูป

และตั้งแต่ที่มีการประกาศใช้มาตรา 44 มีการระดมเจ้าหน้าที่เพื่อค้นหาหลายวันและหลายพื้นที่เป้าหมาย แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่พบตัวพระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และไม่มีใครทราบว่าพระธัมมชโยปัจจุบันอยู่ที่ไหน

แม้ล่าสุด ดีเอสไอ พบเบาะแสว่าธัมมชโย ย่องเงียบกลับเข้ามาภายในวัด โดยมีบรรดาพระภิกษุสงฆ์กางเต็นท์นอนอารักขารอบอาคารดาวดึงส์  ทำให้ ดีเอสไอ ต้องบุกตรวจค้นวัดพระธรรมกาย อีกครั้ง แต่สุดท้ายไม่พบเจ้าตัวแต่อย่างใด

คดีดัง! ปี 2560

ถือเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สร้างความสนใจให้กับคนทั้งประเทศ สำหรับการกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดของ “ไซซะนะ แก้วพิมพา” อายุ 42 ปี ชาวลาว  ราชายาเสพติดชาวลาว หลังถูกจับกุมได้คาสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ต่อมาสามารถขยายผลทลายเครือข่ายที่เชื่อมโยงทั่วประเทศ

จุดเริ่มต้นของการบุกทลายเครือข่าย “ไซซะนะ” เริ่มขึ้นเมื่อตำรวจตามแกะรอยความเคลื่อนไหวของพ่อค้ายาเสพติดชาวลาวรายนี้มาระยะหนึ่ง จนกระทั่งได้เบาะแสว่านายไซซะนะ เดินทางมาท่องเที่ยวในจ.ภูเก็ต และเตรียมขึ้นเครื่องกลับประเทศที่สนามบินสุวรรณภูมิในวันที่ 19 ม.ค. 2560

เครือข่ายนายไซซะนะ เป็นเครือข่ายที่ใหญ่และอันตรายกว่าเครือข่ายของ เล่าต๋า แสนลี่ ราชายาเสพติดภาคเหนือ และนายไซซะนะ ยังอยู่ในเครือข่ายเดียวกันกับ อุสมาน สแลแมง กลุ่มยาเสพติดรายใหญ่ของภาคใต้ด้วย

ด้วยอำนาจเงิน ส่งผลให้เครือข่ายค้ายาของ นายไซซะนะ สามารถสั่งยาเสพติดล็อตใหญ่จากเครือข่าย นายเหว่ย เซียะ กัง พ่อค้ายาเสพติดฝั่งเมียนมา นำเข้ามายังเมืองมอม แขวงบ่อแก้ว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และลำเลียงยาเสพติดไปพักไว้ที่เวียงจันทร์ ก่อนนำข้ามแม่น้ำโขงเข้าประเทศไทย ที่จังหวัดติดน้ำโขงอย่าง นครพนม หนองคาย ฯลฯ

พฤติการณ์ของ นายไซซะนะ จะใช้วิธีการค้ายาที่แยบยลกว่าแก๊งค้ายาในอดีต ที่เคยพบว่าใช้มอเตอร์ไซค์ หรือ รถกระบะลำเลียงยาเสพติด เปลี่ยนมาเป็นสั่งยาด้วยรหัสลับผ่านทางแอปพลิเคชั่นไลน์ และใช้รถหรู ซูเปอร์คาร์ลำเลียงตบตาเจ้าหน้าที่ กระจายยาไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ของไทยทั้งภาคอีสาน กลาง กทม. และภาคใต้ ก่อนจะเข้าประเทศมาเลเซีย และส่งต่อไปยังประเทศสิงคโปร์ โดยมีขบวนการขนลำเลียง ทั้งรถนำและสำรวจเส้นทาง รถขนส่งลำเลียงและรถคุ้มกัน กลุ่มธุรกรรมทางการเงินและผู้ประสานงานสั่งการทุกครั้ง

วันที่ 31 มกราคม 2560  เจ้าหน้าที่ สามารถจับกุม นายณัฐพล นาคคำ หรือบอย  ที่เป็นเหมือนแขนขาให้เครือข่ายไซซะนะ ผู้ลำเลียงยาเสพติดในไทย จากคำให้การของนายบอย ซัดทอดว่าทรัพย์สินบางส่วนอยู่ที่ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือที่รู้จักกันในฉายา เบนซ์ เรซซิ่ง สามีของนางเอกสาว แพท ณปภา ตันตระกูล

จึงนำไปสู่การเข้า “ปฏิบัติการชัยยะ-สยบไพรี 60/2” เป็นการขยายผลทลายเครือข่ายนายไซซะนะ และนำกำลังจู่โจมเข้าตรวจยึดอายัดทรัพย์สินที่เชื่อว่ามาจากการค้ายาเสพติด โดยปูพรมตรวจยึดพื้นที่เป้าหมายทั้งในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดพร้อมกันตั้งแต่เช้ามืดของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รวม 39 จุด

หนึ่งในการเข้าปฏิบัติการดังกล่าว คือการตรวจค้นร้านแอเรีย 51 (Area51) ซอยอินทรามระ 51 เปิดเป็นร้านจำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ ของนายอัครกิตติ์ หรือเบนซ์ เรซซิ่ง  แต่ไม่พบตัวนายเบนซ์

กระทั่งบ่ายวันที่ 3 กุมภาพันธ์ นายเบนซ์นำเอกสารเข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ การสอบปากคำล่วงไปกว่า 5-6 ชั่วโมง ก่อนที่เจ้าตัวจะให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่า รถคันดังกล่าวเป็นของตน ที่ยืมเงินนายบอย 6 ล้านบาทเพื่อดาวน์รถเท่านั้น ก่อนจะชำระคืนไปแล้วบางส่วน ยืนยันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย และไม่รู้จักกับนายไซซะนะมาก่อน พร้อมทั้งวอนสื่ออย่าเพิ่งตัดสิน ขอความเป็นธรรมกับตนด้วย

ก่อนที่ชื่อของ นายไผ่ ลิกค์ หรือไผ่ วันพอยท์ อดีต ส.ส.กำแพงเพชร บุตรชายนายเรืองวิทย์ ลิกค์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จะปรากฏว่ามีส่วนเชื่อมโยงกับรถลัมโบร์กีนีคันดังกล่าวด้วย เป็นเหตุให้นายไผ่ เข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ปส. เพื่อเคลียร์ปมและแสดงความบริสุทธิ์ใจ เมื่อบ่ายวันที่ 7 กุมภาพันธ์2560

หลังจากนั้นตำรวจต้องเรียก “แพท ณปภา” ว่าที่คุณแม่ป้ายแดงในขณะนั้น  ถูกเชื่อมโยงกับเครือข่ายของ “ไซซะนะ แก้วพิมพา” พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ เข้าข่ายสมคบคิดฟอกเงิน แถมยังมีชื่อของ “สาวแพท” เข้าไปเอี่ยวอาจรู้เห็นร่วมกันฟอกเงินตามมา  แต่สุดท้ายศาลมีคำสั่งไม่ฟ้อง “สาวแพท”  ส่วน “เบนซ์ เรซซิ่ง” ศาลยกคำร้องขอประกันตัว  ส่วนรถสปอร์ตคันหรู ทั้ง ลัมโบกินี่ และ บิ๊กไบค์ KTM  ถูก ป.ป.ส. นำไปเปิดประมูลขายทอดตลาด

คดีดัง! ปี 2560

เรื่องราวที่สะเทือนขวัญผู้คนเป็นอย่างมาก สำหรับ คดีฆ่าหั่นศพน้องแอ๋ม หรือ น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย สาวคาราโอเกะ ฆาตกรรมสยองขวัญครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 25 พฤษภาคม เมื่อ เจ้าหน้าที่ พบศพคนถูกฆ่าหั่นยัดถังดำ นำมาฝังดินที่ป่าสาธารณะข้างทาง พบร่องรอยการขุดดินฝัง 2 จุด ไม่ห่างกันมากนัก แต่ละหลุมมีสังกะสีปิดทับไว้ เปิดออกดูพบถังน้ำพลาสติกสีดำถูกฝังกลบอยู่ โดยไม่ได้ปิดฝาข้างในมีถุงขยะสีดำบรรจุศพคนตาย ลำตัวถูกหั่นแยกเป็น 2 ส่วนใส่ไว้ในถัง 2 ใบ ถังแรกใส่ชิ้นส่วนร่างกายท่อนบน ส่วนถังที่ 2 ใส่ชิ้นส่วนท่อนล่าง

เมื่อนำศพออกมาจากถังทั้งสอง ตรวจสอบพบเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 23-25 ปี สูงประมาณ 155 เซนติเมตร ผมสีดำ ใบหน้ามีรอยบวมช้ำ ที่ลำคอมีรอยถูกรัด มีบาดแผลถูกตัดบริเวณใต้ชายโครงจนขาด

เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตาม จากวงจรปิดพบว่าเช้ามืดวันที่ 22 พฤษภาคม แอ๋มขึ้นรถซีอาร์วีไปโดยรถคันดังกล่าวมารับ โดยวิ่งมาจากริมถนนหน้าเมือง ตัดถนนเหล่านาดี ห่างจากหอพักของแอ๋มประมาณ 100 เมตร

เมื่อตรวจสอบข้อมูลแน่ชัด จึงยื่นศาลขออนุมัติหมายจับ 4 ผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ประกอบด้วย นายวศิน หรือนิว นามพรหม อายุ 22 ปี น.ส.จิดารัตน์  พรหมคุณ หรือเบนซ์ อายุ 21 ปี น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว อายุ 22 ปี  และ น.ส.กวินตา ราชสุดา  หรือเอิน อายุ 22 ปี ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และปิดบังซ่อนเร้นศพ

โดย 2 สาวคือเปรี้ยวและเอิน พบว่าออกจากประเทศไทยไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม โดยใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวออกไปทางพรมแดนท่าขี้เหล็ก อ.แม่สาย จ.เชียงราย  ส่วนนายวศิน หรือนิว ถูกชุดสืบสวน บก.สส.ภาค 4 สนธิกำลังตำรวจลาว จับกุมได้ที่เกสต์เฮ้าส์แห่งหนึ่งในเวียงจันทน์ ส่วน น.ส.จิดารัตน์ หรือเบนซ์ ซึ่งเป็นแฟนสาวของนิว ถูกจับกุมได้ที่ จ.อุบลราชธานี

3 มิถุนายน  เจ้าหน้าที่ตำรวจเมียนมาได้ประสานทางการไทยว่า สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาแก๊งฆ่าหั่นศพน้องแอ๋มที่เหลือได้แล้ว ประกอบด้วย น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว พร้อมด้วย น.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น และ น.ส.อภิวันท์ สัตยบัณฑิต หรือ แจ้ โดยได้ส่งมอบตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ที่กลางสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา อ.แม่สาย จ.เชียงราย

จากการสอบสวนที่สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเชียงราย ท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียดเป็นเวลาหลายชั่วโมง เบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 3 คน อ้างว่า หลังก่อเหตุฆ่าหั่นศพได้หลบหนีไปยังประเทศเมียนมา โดยทำบัตรผ่านแดนชั่วคราวข้ามจากฝั่งไทยไปเมียนมา ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2560 ซึ่งตอนนั้นมีเงินติดตัว 100,000 บาท

และไปสมัครและเข้าทำงานที่ร้านโอโซน คาราโอเกะ ก่อนพักอยู่ที่นั่น 1 คืน แล้วหนีไปอยู่บ้านร้าง ใกล้สะพานไทย-เมียนมา แห่งที่ 2  ต่อมาวันที่ 26 พฤษภาคม ก็เริ่มออกไปพบลูกค้า คือ นายธวัชชัย อ้อมชมภู หรือ เก้า แต่พอโดนเจ้าหน้าที่ทั้งฝั่งไทยและเมียนมากดดันอย่างหนัก นายเก้าจึงพาหนีออกไป

จากนั้นก็ได้แยกกับนายเก้า และหลบหนีต่อด้วยตัวเองไปอาศัยอยู่ในบ้านร้าง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 เข้ามอบตัว โดยนั่งรถตุ๊กตุ๊กไปที่ สภ.ท่าขี้เหล็ก เมื่อเวลาผ่านไปกระทั่งเงินหมดและไม่มีหนทางไป ทั้ง 3 คน จึงตัดสินใจมอบตัว โดยนั่งรถตุ๊กตุ๊กไปสถานีตำรวจท่าขี้เหล็ก ห่างจากชายแดนแม่สายประมาณ 3 กิโลเมตร

ใน 4 มิถุนายน 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการตั้งโต๊ะแถลง ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แล้วจะนำตัวผู้ต้องหากลับไปสอบปากคำ และทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่ จ.ขอนแก่น ในวันที่ 5 มิถุนายน 2560

คดีดัง! ปี 2560

นับว่าเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สร้างความสลด และเป็นคดีที่ทุก ๆ คนในสังคมต่างจับตามองรวมถึงสื่อต่าง ๆ ยังคงเกาะติดประเด็นดังกล่าวอย่างดุเดือด สำหรับคดีฆ่ายกครัว นายวรยุทธ สังหลัง 8 ศพ ที่ จ.กระบี่ ซึ่งคนร้ายได้ลงมืออย่างโหดเหี้ยมไม่เว้นแม้กระทั่งเด็ก และผู้หญิง อีกทั้งยังทำลายหลักฐานทุกอย่าง กระทั่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถแกะรอยจนจับกุมผู้ก่อเหตุได้ครบทุกคนแล้วนั้น

โดยเหตุการณ์นี้ เกิดขึ้น เมื่อ วันที่ 10 กรกฎาคม 2560  กลุ่มคนร้ายประมาณ 6-7 คน ใช้ยานพาหนะ 2 คัน แต่งชุดลายพราง พร้อมอาวุธทำทีเข้าตรวจค้นในบ้าน นายวรยุทธ สังหลัง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ และไม่ให้คนในบ้านออกไปไหนทั้งสิ้น และเมื่อนายวรยุทธ กลับมาถึงบ้าน ถูกใส่กุญแจมือและปิดบังใบหน้า คนร้ายได้ลงมือสังหารทุกคนในบ้าน และหลบหนีโดยนำเอารถยนต์ของผู้ตายไปด้วย

วันที่ 11 กรกฎาคม 2560 เกิดเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญกินทุกพื้นที่สื่อ กลุ่มคนร้ายแต่งชุดลายพรางบุกค้นบ้านผู้ใหญ่บ้าน จ.กระบี่ ก่อนสังหารโหด ตาย 6 เจ็บ 5 ไม่เว้นแม้เด็กและคนชรา ทราบชื่อต่อมาคือ 1. นางดวงพร 2. นายสุริยา 3. นายสุทธิพงศ์ 4. ด.ญ.เพชรดาว 5. นางสาวแอนนา 6. ด.ญ.กิ่งเทียน ก่อนที่ต่อมาจะมีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติมจากเหตุการณ์ดังกล่าว คือ นายวรยุทธ สังหลัง ผู้ใหญ่บ้าน และ ด.ญ.แพรไหมทอง รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 8 ราย

ทำให้ พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นด้วยตัวเอง เพื่อตามคดีบุกฆ่ายกครัวผู้ใหญ่บ้าน พบผู้ตายอาจเกี่ยวข้อง ต้านสร้างโรงโม่หินในพื้นที่

หนึ่งในผู้รอดชีวิต เล่านาทีเฉียดตาย โดนยิงเฉี่ยวหูช็อกสลบเลือดอาบ คนร้ายคิดว่าตายจึงไม่ได้ยิงซ้ำ

พล.ต.อ. จักรทิพย์ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้อง และทีมงานสืบสวนสอบสวน เร่งสางคดี ปูพรมล่าผู้ก่อเหตุ ก่อนจะ คุมตัวหนึ่งในผู้ต้องสงสัยแก๊งทรชนฆ่ายกครัว โดย ผบ.ตร. นำทีมคุมสอบเค้นในเซฟเฮ้าส์ กระทั่งต่อมามีรายงานว่า ยังไม่มีการจับตัวผู้ต้องสงสัยเป็นเพียงแค่การสอบพยานเท่านั้น

จากการสอบสวน 1 ในกลุ่มคนร้ายให้การซัดทอดนายซูริก์ฟัต หรือบังฟัต บ้านนบวงศ์สกุล อายุ 41 ปี นายทุนเงินกู้คนหนึ่งในจ.กระบี่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งทำธุรกิจปล่อยเงินกู้และรับจำนองที่ดิน โดยก่อนหน้านี้นายวรยุทธ หรือผู้ใหญ่บัติ ได้เงินโฉนดที่ดินมากู้เงินจากบังฟัตเป็นเงิน 1.3 ล้านบาท จากนั้นได้ใช้หนี้เงินกู้จนหมด แต่บังซัดไม่ยอมคืนโฉนดให้จนเกิดขัดแย้งกันรุนแรง ซึ่งบังฟัตขู่ฆ่าล้างครัวผู้ใหญ่บัติด้วย

ผู้ต้องหาระบุว่า บังฟัตสั่งให้ทีมมือปืนจ่อยิงเหยื่อทั้งหมด แต่ไม่มีใครกล้าทำ จนบังฟัตใช้ปืนผู้ใหญ่บัติเดินจ่อยิงทั้ง 11 คนเรียงตัวเอง

วันที่ 15 กรกฎาคม 2560 พล.ต.อ. จักรทิพย์ บินด่วนไปที่ จ.กระบี่ หลังจากมีการจับกุมตัวผู้ต้องหาคดีฆ่ายกครัวนายวรยุทธ สังหลัง และเค้นสอบหนัก เพื่อให้ซัดทอดผู้ร่วมขบวนการที่เหลือและผู้บงการ และเจ้าหน้าที่พบรถยนต์โตโยต้า ยาริส ของนายวรยุทธ โดยรถคันดังกล่าวถูกจอดอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช

วันที่ 16 กรกฎาคม 2560 พล.ต.อ. จักรทิพย์ นำคณะเดินทางออกจากพื้นที่ จ.กระบี่ ข้ามไปยัง ต.ป่ากอ จ.พังงา เขตรอยต่อกับ จ.ภูเก็ต  ซึ่งเป็นพื้นที่สวนปาล์ม  ก่อนพาสื่อไปดูจุดที่คนร้ายนำรถเก๋งโตโยต้า ยาริส สีบรอนซ์เทา ทะเบียน กค 533 กระบี่ ไปเผาทิ้ง เพื่อทำลายหลักฐานในสวนปาล์มแห่งหนึ่ง จากนั้นพาไปยังจุดที่ 2 พบหลักฐานอื่น ๆ อีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเมมโมรี่การ์ด, ถุงมือ, กุญแจมือ, อาวุธปืน และกระสุนปืนจำนวนมาก รวมทั้งถังน้ำมันที่ใช้สำหรับการเผารถ ต่อมาเจ้าหน้าที่ ได้รวบ "บังฟัต" นายทุนเงินกู้ ขณะกบดานในบ้านเช่าที่ภูเก็ต

โดย“บังฟัต” สารภาพว่า ตนพร้อมสมุนที่เข้าไปก่อเหตุ 7 คน กับเมียบังฟัต ร่วมวางแผนและจัดหาเสื้อลายพราง ที่ใช้ก่อเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมผู้เกี่ยวข้องอีก 4 คนมาสอบปากคำ “บังฟัต” เปิดปากรับสารภาพเคยร่วมกับเมียวางแผนอุ้มฆ่าผู้ใหญ่บ้านมาแล้ว โดยให้เมียเป็น “นางนกต่อ” เรียกออกมาพบ แต่ผู้ใหญ่บ้านนำผู้ช่วยมาด้วย จนต้องยกเลิกแผน เลยบุกเข้าบ้านหมายอุ้มตัวแต่เกิดผิดแผน ผู้ใหญ่บ้านกลับเข้าบ้าน แถมยังจำได้เป็นใครทั้งที่สวมหมวกไหมพรม แถมขู่จะฆ่ายกครัว ลูกสมุนลั่นไกยิงผู้ใหญ่บ้านเสียชีวิต ตัดสินใจฆ่าคน ในบ้านทั้งหมดเพื่อปิดปาก

คดีดัง! ปี 2560

คดีดังในรอบปี อีกคดีที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ เพราะภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน ครูจอมทรัพย์ ที่ปรากฏชื่อเป็นที่สนใจของสังคมว่า เธอคือ “แพะ” แต่เมื่อเวลาผ่านไป เหตุการณ์กลับตาลปัตร เพราะแผนการที่เธอวางไว้ ได้ทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง

จาก เหตุการณ์ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2558 ครูจอมทรัพย์ พ้นโทษในข้อหาขับรถชนผู้อื่นเสียชีวิต 27 พ.ย. 2560 ครูจอมทรัพย์ กลับเข้าเรือนจำ ข้อหาแจ้งเท็จ, เบิกความเท็จ, หมิ่นประมาท, อั้งยี่ซ่องโจร

ขณะที่ ค่ำวันที่ 11 มีนาคม 2548 ตำรวจได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถกระบะเฉี่ยวชนจักรยานเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย คือนายเหลือ พ่อบำรุง เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. บนถนนสายธาตุน้อย-นาเหนือ อ.เรณูนคร จ.นครพนม รถคันก่อเหตุคือรถทะเบียน บค 56 สกลนคร มีผู้ขับคือนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานก่อนสรุปสำนวนฟ้อง

คดีเริ่มเข้าสู่กระบวนพิจารณา โดยที่เวลานั้นไม่ปรากฏพยานรายใด ให้การว่ามีบุคคลที่เป็นชายออกมาจากรถ 25 สิงหาคม 2549 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกนางจอมทรัพย์เป็นเวลา 3 ปี 2 เดือน ต่อมา 7 พฤษภาคม 2552 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง และวันที่ 24 กันยายน 2556 ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำคุกตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ในข้อหา ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี คดีชนแล้วหนี จำคุก 2 เดือน รวมโทษจำคุก 3 ปี 2 เดือน ครูจอมทรัพย์ถูกคุมขัง ในเรือนจำกลางจังหวัดนครพนม

ขบวนการสร้างพยานเท็จเริ่มต้นขึ้น 30 พฤศจิกายน 2556 นายสุริยา นวนเจริญ หรือ ครูอ๋อง เพื่อนสนิทครูจอมทรัพย์ นำนายสับ วาปี กับพวกรวม 10 คน ไปพบ สมาชิกวุฒิสภามุกดาหาร เพื่อปรึกษาเรื่องคดี โดยอ้างว่านางจอมทรัพย์ไม่ได้ก่อเหตุ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2558 ระหว่างที่อยู่ในเรือนจำ ครูจอมทรัพย์ มอบหมายให้หลานสาวยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญา โดยอ้างว่ามีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้ง และสำคัญแก่คดี ซึ่งถ้าได้นำมาสืบจะแสดงว่าผู้ร้องไม่ได้กระทำความผิด

ครูจอมทรัพย์ ถูกคุมขัง และได้รับการอภัยโทษ ออกมาเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2558 รวมเวลาอยู่ในเรือนจำ 1 ปี 6 เดือน หลังได้รับการปล่อยตัวเธอออกมาเดินหน้าเรียกร้องกระทรวงยุติธรรมขอให้รื้อฟื้นคดี ด้วยตัวเอง กระทั่ง 19 กันยายน 2559 ศาลรับคำร้อง คดีถูกรื้อฟื้นนำสู่กระบวนการพิจารณาพิพากษาใหม่ แต่นั่น กลับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ขบวนการสร้างพยานหลักฐานเท็จถูกเปิดเผย และนับเป็นคดีแรกที่ศาลชี้ว่า มีกระบวนการสร้างพยานหลักฐาน เพื่อช่วยเหลือครูจอมทรัพย์ให้หลุดพ้นคดีอาญา

ตัวละครในขบวนการไม่ต่ำกว่า 10 คน ถูกเรียกตัวสอบสวน ตำรวจขอหมายจับผู้เกี่ยวข้องอย่างน้อย 4 คน พร้อมแจ้งข้อกล่าวหาผู้ร่วมขบวนการแล้วไม่น้อยกว่า 7 คน เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมถูกเรียกตัวสอบปากคำ เพราะอาจมีส่วนรู้เห็นในบางช่วงตอน ซึ่งคดีนี้ นับเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือกระบวนการยุติธรรมอย่างร้ายแรง

คดีครูจอมทรัพย์ ไม่ใช่คดีแรกที่ขอรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาคดีใหม่ เพราะอย่างน้อยในปี 2560 นายพัสกร สิงคิ ก็เป็นอีกคน ที่ขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่เช่นกัน ในคดียิงผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่หลักฐานที่มีไม่เพียงพอ ศาลยกคำร้อง เขาต้องกลับเข้าเรือนจำไม่ต่างกับครูจอมทรัพย์ แม้จะมีหลายคดีที่เข้าหลักเกณฑ์การขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ แต่คดีที่เข้าสู่การพิจารณาแล้ว ก็ไม่เคยปรากฎการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษา ที่แสดงว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ที่แท้จริง หรือที่สังคมให้คำนิยามกันว่า แพะ!

คดีดัง! ปี 2560

related