ลมชักกำเริบ! "หมอวัยเกษียณ" ขับเก๋งชนร้านส้มตำพังยับ เจ็บ 5 ราย

  นายแพทย์วัย 72 ปีชาวโคราช ขับรถเก๋งเกิดลมชักกำเริง พุ่งชนร้านขายส้มตำ กวาดรถจักรยานยนต์พังยับหลายคัน นักศึกษาเจ็บ 5 ราย วันนี้ (11 ม.ค.) เมื่อเวลา 17.10 น. ร.ต.ท.ธนาธิป พรมไธสง ร้อยเวร สภ.เมืองนครราชสีมา ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุรถเก๋งพุ่งชนร้านส้มตำ และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก จึงรุดไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยสว่างเมตตาโคราช ที่เกิดเหตุเป็นร้านขายส้มตำ และอาหารตามสั่ง อยู่ในซอย 30 กันยา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา พบรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า3 สีบรอนด์เงิน เลขทะเบียน กธ 8123 นครราชสีมา พุ่งชนด้านหน้าร้านขายส้มตำ จนตู้กระจกใส่วัตถุดิบอาหาร และโต๊ะวางอุปกรณ์ประกอบอาหาร พังเสียหาย ขณะเดียวกัน ก็มีรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่หน้าร้าน ถูกรถเก๋งคันดังกล่าว พุ่งชนได้รับความเสียหายอีก 5 คัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5 คน ในจำนวนนี้มี 1 คน ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นนักศึกษาที่กำลังมาสั่งอาหารที่ร้านดังกล่าว ทราบชื่อคนขับรถเก๋งต่อมาคือ น.พ.สวัสดิ์ ปิยะพรหมดี อายุ 72 ปี ชาว ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา จากการสอบถาม น.ส.ชนิสรา โนใหม่ อายุ 20 ปี หนึ่งในนักศึกษาที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุตนเองกับเพื่อนได้มาสั่งอาหารในร้านดังกล่าว แล้วจู่ๆ ก็พบว่ามีรถเก๋งขับมาพุ่งชนหน้าร้าน ก่อนที่จะชนคนที่ยืนอยู่หน้าร้าน ได้รับบาดเจ็บ 5 คน รวมทั้งกวาดเอารถจักรยานยนต์ของนักศึกษา ที่จอดอยู่หน้าร้านล้มลง ได้รับความเสียหายทั้งหมด 5 คัน ในจำนวนนั้นมีรถจักรยานยนต์ของเพื่อนตนเองด้วย จึงวิ่งออกมาดู พบว่ามีนักศึกษาที่ได้รับบาดเจ็บ กำลังร้องขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวด จึงได้โทรศัพท์แจ้งให้หน่วยกู้ภัย มาช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และโรงพยาบาล ป.แพทย์ ส่วนคนขับรถเก๋งปรากฏว่าเป็นลมชักอยู่ภายในรถ ซึ่งเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัย ก็ได้นำตัวส่งไปที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเช่นกัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบถามภรรยาของคนขับรถเก๋ง (ขอสงวนนาม) ทราบว่า น.พ.สวัสดิ์ ปิยะพรหมดี เคยมีประวัติเป็นลมชักมาก่อน ซึ่งต้องรับประทานยาตลอดทุกวัน ส่วนวันนี้ก็กำลังขับรถไปทำธุระคนเดียว เพื่อที่จะเดินทางกลับบ้านที่ซอยมหาชัย ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา จึงคาดว่าอาจจะเกิดอาการลมชักกำเริบระหว่างทาง และไม่สามารถควบคุมรถได้ จนพุ่งชนร้านข้างทาง ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมากในครั้งนี้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอีกครั้ง