เหยื่อเผานั่งยาวชาวอิตาลี เข้าฝันผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรบึงนาราง เหมือนร้องขอให้เร่งคลี่คลายคดี ขณะที่ผลตรวจดีเอ็นเอ ลูกชายตรงกับศพผู้ตายชาวอิตาลี
ตำรวจ ฝากถึง
"นางสาวรุธจิรา เอี่ยมละม้าย" ผู้ต้องหาคดีเผานั่งยางชาวอิตาลี ให้นึกถึงลูกที่นอนไม่หลับ ไม่ยอมไปโรงเรียน เพราะแม่หนีการจับกุม จากกรณีพบศพชายนิรนามถูกเผานั่งยางที่บริเวณป่าข้างบึงน้ำบึงทับจั่น หมู่ที่ 3 ต.แหลมรัง อ.บึงนาราง จ.พิจิตรใกล้กับองค์การบริหารส่วนตำบลแหลมรัง เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 ที่ผ่านมา
โดยผู้เสียชีวิตเป็นชาวอิตาลี ชื่อ
"นายจูเซปเป เดอ สเตฟานี" อายุ 61 ปี ส่วนผู้ต้องหาคือ
"นางสาวรุธจิรา เอี่ยมละม้าย" อายุ 38 ปี และนายอาโมรี ริโก สามีชาวฝรั่งเศส อายุ 34 ปี ซึ่งหลังก่อเหตุได้หลบหนีไปพร้อมกับรถยนต์เก๋งยี่ฮ้อโตโยต้า รุ่นยารีส สีบอร์นเงิน หมายเลขทะเบียน กค-1374 สมุทรสงคราม ล่าสุดพลตำรวจตรี ธวัชชัย มวญนรา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร เปิดเผยถึงผลการตรวจดีเอ็นเอของ นายลูก้า เดอ สเตฟานี อายุ 33 ปี ที่แจ้งว่าเป็นบุตรชายของนาย จูเซปเป เดอ สเตฟานี ผู้เสียชีวิตจาการถูกฆ่าเผานั่งยาง ปรากฏว่าผลการตรวจดีเอ็นเอ ของทั้งสองคนตรงกัน เท่ากับว่าผู้เสียชีวิตคือนายจูเซปเป เดอ สเตฟานี จริง
ส่วนด้านการติดตามจับกุมขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งจากชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดพิจิตร และชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 6 รวมทั้งตำรวจท่องเที่ยว ยังคงเร่งติดตามจับกุมตามเบาะแส อย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถจับได้ไม่นานนัก เนื่องจากทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองราย มีกลุ่มวัยรุ่น ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และต้องใช้ยาเสพติดเป็นประจำ ซึ่งการกบดานหนีตำรวจ คงได้ไม่นานเ นื่องจากต้องหายาเสพติดเพื่อเสพ
นอกจากนี้ยังพบเรื่องแปลกเมื่อวิณญานของนายจูเซปเป เดอสเตฟานี ผู้ตาย ได้เข้าฝันพันตำรวจเอก ชัยเสถียร มณีจักร ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบึงนาราง 2 คืนติด โดยตำรวจเอก ชัยเสถียร มณีจักร ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบึงนาราง เปิดเผยว่า ก็ไม่ถึงกับเชื่อทั้งหมดแต่ก็ฝันแปลกมากในความฝันเหมือนกับว่าได้ยินเสียงร้องให้ของนายจูเซปเป เดอ สเตฟานี และเสียงร้องขณะถูกทำร้าย ซึ่งตนเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงหรือไม่แต่ก็ไม่ลบหลู่ ถือว่าเป็นการให้สัญญาณจากผู้เสียชีวิตที่ให้เร่งคลี่คลายดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดที่ยังหลบหนีอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ตนเองอยากฝากถึงนางสาวรุธจิรา ผู้ต้องหาคดีนี้ว่าขอให้มอบตัวกับเจ้าหน้าที่ เพื่อต่อสู้คดีตามกระบวนการของกฎหมาย เนื่องจากเป็นคดีที่ผู้ได้รับความเสียหายเป็นชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวผู้เสียหาย นับเป็นสิ่งที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทยในสายตาของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย