ผลักดันไทยสู่มหานครผลไม้โลก

รัฐบาลเดินหน้าผลักดันพื้นที่เพาะปลูกผลไม้ภาคตะวันออกให้กลายเป็นมหานครผลไม้ของโลก โดยตั้งเป้ายกระดับมูลค่าการเพิ่มเป็น 2 แสนล้านบาทในอีก 5 ปีข้างหน้า และจะใช้เวทีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรนอกสถานที่ในการลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อเดินหน้ายุทธศาสตร์อย่างจริงจัง

วันที่ 4 ก.พ.61 ผลไม้เมืองร้อนอย่างทุเรียน เงาะ มังคุด และลำไย ที่เพาะปลูกในภาคตะวันออก มีมูลค่าสูง 9 หมื่นถึง 1 แสนล้านบาทต่อปี ทำให้รัฐบาลเตรียมการผลักดันให้ไทยเป็นมหานครผลไม้โลก และ เป็นมหาอำนาจด้านผลไม้เมืองร้อนของโลกด้วย

ขณะที่ในวันที่ 6 ก.พ.นี้ จึงจะมีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือ MOU  2 ฉบับ

ฉบับที่ 1 เป็น MOU ความร่วมมือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย อธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา

และ ฉบับที่ 2 เป็น MOU ความร่วมมือเชื่อมโยงตลาดผลไม้ในประเทศระหว่างหอการค้า 8 จังหวัดที่เป็นแหล่งผลิตผลไม้เมืองร้อน กับ หอการค้า ซึ่งถือเป็นแหล่งบริโภคและแหล่งรับซื้อสำคัญทั้งในและต่างประเทศ การลงนามในเอ็มโอยูฉบับนี้ จะลงนามร่วมมือกับประธานหอการค้าผิงเสียง จากจีน และประธานหอการค้าไพลิน จากกัมพูชาด้วย

นายจอมศักดิ์ ภูติรัตน์ ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า ตามยุทธศาสตร์มหานครผลไม้โลกได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มมูลค่าการค้าผลไม้ของภาคตะวันออก จาก 9 หมื่นล้านบาท-1 แสนล้านบาท อีก 1 เท่าตัว หรือ 2 แสนล้านบาท ในปี 2564

ตามแผนยุทธศาสตร์จะต้องขอสนับสนุนจากรัฐบาลด้วยงบประมาณราว 5 พัน ถึง 1 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้งบประมาณ สำหรับการจัดตั้งแล็บมาตรฐานตรวจสอบคุณภาพสินค้าและออกใบรับรอง ขอจัดตั้ง Fruit Complex บนที่ดินของอบจ.จันทบุรี เพื่อใช้เป็นตลาดกลางซื้อขายผลไม้ ศูนย์บริหารจัดการข้อมูลด้านการผลิตและการตลาดศูนย์เรียนรู้สร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าด้วยนวัตกรรม รวมถึงใช้เป็นที่จัดอีเวนต์ และ บิสิเนสแมตชิ่งกับผู้ค้าทั้งในและต่างประเทศ

นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า แผนยุทธศาสตร์มหานครผลไม้โลกจะเป็นยุทธศาสตร์หลักของประเทศในการยกระดับผลไม้สำคัญของไทย ได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด จากแหล่งปลูกไปจนถึงมือผู้บริโภคให้ได้มาตรฐานสากลยิ่งขึ้น โดยจะมีแผนทั้งระยะสั้นไปจนถึงระยะยาว เพื่อให้สินค้าผลไม้ทั้ง 3 ชนิดสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในและต่างประเทศ