จากกรณีเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2560 ที่วัดไทยชื่อดังแห่งหนึ่งในพื้นที่ ม.4 ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จ.ระนอง อยู่ห่างจากลำน้ำกระบุรีเพียง 1 กิโลเมตร ซึ่งเป็นพรมแดนกั้นระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมา โดยวัดไทยดังกล่าวมีปัญหาเรื่องการก่อสร้างเจดีย์ และมีพระลูกวัดรูปหนึ่งเป็นชาวเมียนมา แต่มีการแสดงหลักฐานว่าเป็นไทยพลัดถิ่น ซึ่งพระรูปดังกล่าวได้สร้างความแตกแยกในพื้นที่ในเรื่องผลโยชน์ ที่เข้ามาในวัดการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ การนำชาวเมียนมาเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก ด้านฝ่ายความมั่นคงได้มีการจับกุมการนำพาชาวเมียนมาหลบหนีเข้ามาเองหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งจากการสอบสวนจะทราบว่าต้นทางที่ชาวเมียนมาหลบหนีเข้ามาอาศัยและรอการเดินทาง จะอยู่ที่วัดดังกล่าว ทางหน่วยราชการในพื้นที่ได้เข้ามาทำการสอบสวน จนพระรูปดังกล่าวต้องออกไปจากวัดดังกล่าวเป็นการชั่วคราว
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอกระบุรี เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจากส่วนกลางจำนวน 3 คน ได้เชิญพระรูปดังกล่าวเข้าทำการสอบสวน พร้อมตรวจสอบเอกสาร ใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงในสอบสวน ซึ่งภายหลังการสอบสวนเสร็จเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไม่ให้สัมภาษณ์ในเรื่องการสืบสวน เพราะเป็นความลับทางราชการ ส่วนพระรูปดังกล่าวก็ไม่ให้รายละเอียดในเรื่องที่สอบสวนเช่นกัน
จากการสอบถามไปยัง เจ้าหน้าที่ด้านความมันคงและเจ้าหน้าที่ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสืบสวน ทราบว่า พระรูปดังกล่าวอ้างว่าเป็นคนไทยพลัดถิ่น มีพ่อเป็นคนไทย อยู่ในขั้นตอนการขอสัญชาติ แต่จากการสืบสวนในเบื้องลึกทราบว่าพระรูปดังกล่าวเป็นชาวเมียนมาร้อยเปอร์เซ็นต์ โดยทรายว่าขณะอยู่ในขั้นตอนการยกเลิกหรือการเปลี่ยนสถานะจากคนไทยพลัดถิ่นให้กลับมาเป็นกลุ่มต่างด้าว ซึ่งขั้นตอนการสืบสวนอาจจะโยงไปถึงผู้ที่ร่วมมือกับพระรูปดังกล่าวในการปลอมแปลงเอกสาร การแจ้งความเท็จ เพื่อให้ได้มาซึ่งการพิสูจน์สัญชาติในการเป็นคนไทย
ในส่วนเรื่องของความขัดแย้งผลประโยชน์ภายในวัด เจ้าหน้าที่ไม่ยุ่งเกี่ยว เนื่องจากภายในบริเวณที่มีการก่อสร้างเจดีย์เชเวดากองบนเนินเขาภายในวัด มีชาวพม่าหญิงชายจำนวนมากเดินทางเข้าออก โดยไม่มีการตรวจสอบ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองมีการจับกุมขบวนการลักลอบขนต่างด้าวเข้าเมืองหลายครั้ง ซึ่งจากการสอบสวนพบว่าจุดที่ผู้หลบหนีเข้าเมืองอยู่อาศัยเป็นจุดเดียวกัน คือบริเวณภายในวัดซึ่งอยู่ใกล้กับจุดก่อสร้างเจดีย์ ซึ่งในเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องการกระทบความมั่นคงของชาติ
