พบหลักฐานปู่คออี้ บ้านบางกลอย เล่าให้กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติว่าตนเองเกิดต้นแม่น้ำพาชีใกล้ๆพุระกำ จ.ราชบุรี ไม่ได้เกิดในประเทศไทย
หลังศาลปกครองสูงสุดได้อ่านคำพิพากษา คดีปู่คออี้หรือ โคอิ มีมิ พร้อมพวกชาวกะเหรี่ยงรวม 6 คน ฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธ์พืช ว่าถูกเจ้าหน้าที่เผาเพิงพักและผลักดันออกนอกพื้นที่ถิ่นอาศัยที่อาศัยมากว่า 100 ปี ซึ่งศาลก็มีคำตัดสินให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนกรณีข้าวของเครื่องใช้เสียหายคนละประมาณ 5 หมื่นบาท รวมกว่า 3 แสนบาท แต่ไม่อาจกำหนดบังคับให้กลับไปพื้นที่เดิม เนื่องจากไม่มีเอกสารสิทธิจากทางราชการยืนยันการครอบครองทำประโยชน์
ตรงนี้เองทางเจ้าหน้าที่ได้มีหลักฐานชิ้นใหม่เป็นคลิปวิดีโอ กรณีที่นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชน ได้เดินทางเข้าไปเยี่ยมปู่คออี้ที่บ้านบางกลอย ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเพื่อติดตามความคืบหน้า โดย ปู่คออี้ ได้เล่าให้นางเตือนใจฟังว่า ตนเองนั้นเกิดที่ต้นแม่น้ำภาชี ใกล้ๆกับบ้านพุระกำ จ.ราชบุรี ไม่ใช่เกิดในประเทศไทย ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่มีการให้ข่าวมาโดยตลอดว่า ปู่คออี้ เกิดที่ใจแผ่นดินและอาศัยอยู่มานานนับร้อยปี
เมื่อไปดูแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมจะพบว่าต้นแม่น้ำภาชี ใกล้พุระกำ ที่ปู่คออี้บอกเกิดที่นั่นจะอยู่ห่างจากแนวเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ไม่น้อยกว่า 30 กิโลเมตร และจากแนวเขตอุทยาน ถึงเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี ไม่น้อยกว่า 20 กิโลเมตร แต่ต้นน้ำลำภาชี ซึ่งต้นน้ำอยู่สันแดน ไทยเมียนมาร์ และอยู่ฝั่งประเทศเมียนมาร์ โดยน้ำจะไหลมาฝั่งประเทศไทย วึ่งหากเทียบระยะยะทางจากต้นน้ำภาชี มาใจแผ่นดิน ห่างกันไม่น้อยกว่า 40 กิโลเมตร หากเป็นการเดินเท้า แต่หากดูตามแนวแผนที่เส้นตรง ก็ประมาณ 15-17 กิโลเมตร
ซึ่งการให้ถ้อยคำในครั้งนี้เป็นการให้ถ้อยคำต่อหน้านางเตือนใจ และนายมานะ เพิ่มพูน หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน พร้อมด้วยผู้นำชุมชนในพื้นที่
จากหลักฐานดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายมองว่า การที่ปู่คออี้พร้อมพวกให้ข่าวผ่านฝ่ายกฏหมายที่ช่วยยื่นฟ้องคดีให้นั้นเป็นข้อมูลเท็จ อีกทั้งขณะที่ทางอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเข้าดำเนินการในยุทธการตระนาวศรี ก็ไม่พบตัวผู้กระทำความผิด และได้แจ้งความไว้ที่สภ.แก่งกระจาน ซึ่งกรณีที่ปู่คออี้พร้อมพวก ยื่นฟ้องดังกล่าว ก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่า ได้เข้าไปบุกรุกพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจริงตามคำพิพากษาของศาลปกครอง จึงทำให้พนักงานสอบสอนในขณะนั้น ต้องดำเนินคดีกับปู่คออี้และพวกอีก 6 คน ในการกระทำความผิดตาม พรบ.อุทยานแห่งชาติฯ พรบ.ป่าสงวนแห่งชาติ และพรบ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 รวมทั้งพรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าฯ อีกด้วย เพราะมีหลักฐานชัดเจนจากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดว่า ทั้งหมดได้บุกรุกเข้าไปอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว