สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ จ.ขอนแก่น ต้องไม่พลาดเดินทางมาชมความสวยงามและความสมบูรณ์แบบของโบราณสถานที่สำคัญของชาติอีกแห่งหนึ่ง คือ วัดกู่ประภาชัย ต.บัวใหญ่ อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งภายในเป็นที่ตั้งของกู่ประภาชัย หรือชาวบ้านเรียกกว่า กู่บ้านนาคำน้อย โบราณสถานที่สำคัญของไทยซึ่งกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ. 2478 อยู่ห่างจากตัวเมืองขอนแก่นประมาณ 57 กิโลเมตร ซึ่งกู่ในภาษาอีสานนั้น หมายความว่า ปราสาทโบราณ โดยที่
กู่ประภาชัยแห่งนี้ เป็นโบราณสถานที่มีลักษณะแผนผัง เป็นอโรคยาศาล สร้างจากหินศิลาแลง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งอาณาจักรขอม ราวพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ. 1720-1780) โดยภายในบริเวณประกอบด้วยปรางค์ประธานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีมุขยื่นทางด้านหน้า เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า บรรณาลัย ล้อมรอบด้วยกำแพงแก้ว โดยมีโคปุระหรือซุ้มประตูทางเข้าออกด้านหน้าหรือทางด้านทิศตะวันออกเพียงด้านเดียว นอกกำแพงมีสระน้ำ เชื่อกันว่าน้ำในสระเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ภายในบริเวณวัดแห่งนี้ร่มรื่นไปด้วยพันธ์ไม้นานาชนิด มีการจัดส่วนแสดง ที่มีการบอกเล่ารายละเอียดความเป็นมาของกู่ประภาชัย นอกจากนี้ผู้ที่มาเที่ยวชมจะต้องกราบขอพรหลวงพ่อกู่ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ โดยหลวงพ่อกู่นี้นั้นชาวบ้านในพื้นที่ให้การเคารพเลื่อมใสศรัทธามาแต่โบราณ
[gallery columns="1" link="file" size="full" ids="327001,327002,327003,327004,327005,327006"]
โดยนักท่องเที่ยวได้ กราบขอพรจากหลวงพ่อกู่ ที่ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะเคยมีนักท่องเที่ยว มาเที่ยวชมแล้วเอาหินในกู่กลับบ้านด้วย ขณะเดินทางก็ประสบอุบัติเหตุ จนต้องเอาหินกลับมาคืนที่เดิม และปัจจุบัน ชาวบ้านอัญเชิญหลวงพ่อกู่ ไปประดิษฐานในศาลาพิพิธภัณฑ์ ให้ประชาชนได้มากราบไหว้กันได้สะดวกยิ่งขึ้น พร้อมทั้งได้ชมสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษามาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน น้ำไม่เคยแห้งและไม่เคยล้มเอ่อ แต่น้ำเต็มตลอดทั้งปี โดยในอดีตนั้น มีเรื่องเล่าขานกันมาว่าช่วงเดือนเมษายน หรือเดือนห้า จะมีการประกอบพิธีโยงสายสิญจน์รอบบ่อน้ำ พระสงฆ์ 9 รูป 9 วัด สวดภาวนา เจริญพระพุทธมนต์ ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 5 ประจำทุกปี และสรงน้ำรอบปราสาท โดยประชาชนสามารถตักเอาน้ำในสระกลับบ้านได้ นอกจากนี้ยังได้นำน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปประกอบพระราชพิธีในวโรกาสต่างๆ 3 ครั้ง โดยครั้งแรกเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระชนมายุครบ 5 รอบ 60พรรษา ครั้งที่ 2 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ครบ 6 รอบ 72 พรรษา และ ครั้งที่ 3 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 มีพระชนมายุครบ 84 พรรษา เมื่อปี 2554”
สำหรับหินก้อนใหญ่ ที่วางอยู่ในแท่นหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์และส่วนจัดแสดง นั้นในอดีตตนเองเคยบวชเป็นพระที่วัดกู่ประภาชัยมาหลายปี ทราบจากคำบอกเล่าของปู่ย่าตายายและคนสมัยก่อนว่า หินก้อนใหญ่ว่า ในช่วงปีพ.ศ.2511-2522 มีชาวต่างชาติมาเที่ยวชมกู่ประภาชัยและเห็นหินก้อนใหญ่ และทราบความเป็นมาของหินว่า เป็นหินที่อยู่บนยอดไม้ ชาวต่างชาติจึงขอซื้อ 1 ล้านบาท แต่ชาวบ้านและพระสงฆ์ในวัดอยากได้ล้านห้า เพื่อจะเอาเงินมาสร้างวัด อยู่ๆรองเจ้าอาวาสฯในขณะนั้นก็ปวดท้องขึ้นมากะทันหัน ชาวบ้านจึงเข้าไปช่วยเหลือ แต่พระกลับบอกว่า ขายหินก้อนใหญ่ไม่ได้ เพราะมีพระธุดงค์ห่มจีวรมาบอกว่าไม่ให้ขาย ชาวบ้านและทางวัดจึงไม่ขายหินก้อนใหญ่ รวมทั้งได้พากันทำขัน 5 มาขอขมาหิน อาการปวดท้องของรองเจ้าอาวาสก็หายเป็นปลิดทิ้ง จึงเป็นที่มาของหินศักดิ์สิทธิ์หรือหินก้อนล้าน