ผิดเงื่อนไขดูแลป่า!! เตรียมถอด “สำนักสงฆ์เต่าดำ” พ้นพุทธอุทยานฯ

นายสมโภชน์  มณีรัตน์ โฆษกกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยว่าพื้นที่ป่าเขาพลูเดิมเป็นเส้นทางทำเหมืองเก่าก่อนประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติไทรโยค ขณะนี้หมดสัมปทานมาหลายปีทางกรมอุทยานแห่งชาติไม่ได้ต่อสัญญาให้ เส้นทางสัญจรจึงถูกปิดไปโดยปริยาย ขณะที่สำนักสงฆ์เต่าดำ อยู่มานานกำหนดให้เป็นเขตพุทธอุทยานฯเพื่อให้พระสงฆ์อยู่กันได้โดยมีญาติโยมอุปฐากเข้ามาบ้างโดยต้องขออนุญาตเป็นรายๆที่จะเข้ามายังสำนักสงฆ์ดังกล่าว

“กรมอุทยานฯ เตรียมยกเลิก ให้ออกจากพื้นที่ เหตุผลเพราะไม่ทำตามเงื่อนไข ข้อตกลง 3 ข้อ ประกอบด้วย ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ, ไม่ปลูกสิ่งก่อสร้าง และสร้างจิตสำนึกให้คนรักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อม  ทั้งเปิดให้มีกลุ่มบุคคลเข้าไปทำผิด โดยเป็นจุดพักค้างแรมของกลุ่มปลัดและพวก นำไปสู่การตรวจเจอเศษซากเนื้อสัตว์ ที่คาดว่าจะเป็นการกระทำผิด”

นายสมโภชน์ กล่าวว่า ในการขออนุญาตต้องระบุชัดเจนนำรถเข้าไปกี่คัน นำอะไรเข้าไปบ้าง ส่วนการนำอาวุธต่างๆ และปืนเข้าไป ไม่ใช่อุทยานฯไม่เข้มงวด แต่เขตป่ายังไม่ใช่พื้นที่วิกฤตในการตรวจค้น การสอดส่องอาจไม่เน้นมากเท่าพื้นที่วิกฤตเช่น 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนที่ถามว่าสังคมวีไอพีมีการเบ่ง จนเจ้าหน้าที่เกรงใจไม่ตรวจสอบ เรื่องนี้ ไม่มีเหลือแล้ว หากจะขอเข้าพื้นที่ เจ้าหน้าที่ต้องตรวจสอบอยู่แล้ว เว้นแต่คนตั้งใจขนอาวุธเข้าไป ก็คงหาวิธีการหลบซ่อน อีกทั้งการเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต  พื้นที่ป่ามีขนาด 73 ล้านไร่ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง โดยเฉพาะพวกที่แอบลักลอบเข้าไปตัดไม้ ถึงแม้มีแนวโน้มลดลง แต่ก็ยังไม่เป็นศูนย์

“ระหว่างนี้ มีการเสนอร่างแก้ไขพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ อยู่ในขั้นของ สนช. เพื่อแก้ไขรายละเอียดและบทลงโทษเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มีช่องโหว่ ปัญหาของบทลงโทษทางกฎหมายทั้งคนรวยและคนจนเท่ากัน หากแต่สังคมช่วยกันลงโทษ เช่นกรณีเสือดำ จะได้ผลมากกว่าบทลงโทษทางกฎหมาย อย่างไรก็ตาม อุทยานฯจะเข้มงวดการเข้าพื้นที่มากขึ้นอีก”

สำหรับ กรณีเขตพุทธอุทยาน เป็นโครงการในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติ เมื่อ 18 เมษายน 2538 เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ เพื่อให้กรมป่าไม้ (เดิมสังกัดกระทรวงเกษตรฯสมัยนั้น) ประสานกับกรมการศาสนา กรมการปกครอง และมหาเถรสมาคม กำหนดให้พระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้พักอาศัย พร้อมกับกำหนดแนวทางส่งเสริมให้วัด หรือสำนักสงฆ์มีส่วนช่วยงานด้านป่าไม้ในพื้นที่ป่าทั่วประเทศ

ด้านนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวว่า  การเข้าป่าล่าสัตว์ แต่ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ไม่ถือเป็นจุดอ่อนของกฎหมาย ซึ่งเป็นสิทธิของผู้ต้องหา แต่ถ้าทำผิดแล้วยอมรับจะเป็นเหตุให้ศาลบรรเทาโทษ แต่ถ้าปฏิเสธ ถ้าเจ้าหน้าที่สอบสวนว่าทำผิดจริง ก็จะไม่มีการลดหย่อนโทษ ถ้าดูพิจารณาประมวลกฎหมายความอาญา ให้ตำรวจรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่ทำได้ เพื่อประสงค์ทราบข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาว่ามีอะไรบ้าง และเพื่อรู้ตัวผู้กระทำผิด พิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธ์ เพราะกฎหมายให้ความเป็นธรรม การสอบสวนจะทำทั้งสองฝ่าย ผู้กล่าวหาและถูกกล่าวหา

นายโกศลวัฒน์กล่าวว่ากรณีการสอบสวนกรณีอุ้งเท้าหมีขอมีข้อกล่าวอ้างคดีเสือดำ พนักงานใช้เวลาทำงาน 1 เดือน สรุปสำนวนจบ และยื่นฟ้อง กรณีหมีขอก็ไม่น่าจะนาน ขบวนการยุติธรรมให้โอกาสต่อสู้ มุมมองพนักงานอัยการไม่ได้มองจากข่าว กระแสงสังคม แต่พิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมด