ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพิ่มมากขึ่นระหว่างอิหร่านและสหรัฐฯ ล่าสุดนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯเตือนอิหร่านอย่าคิดขู่สหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นจะต้องเจอกับผลกระทบอย่างทำลายล้าง
นายทรัมป์โพสต์ข้อความในบัญชีทวิตเตอร์ของเขาระบุว่า “หากอิหร่านต้องการสู้ นั่นจะเป็นจุดจบทางการของอิหร่าน อย่าคิดที่จะขู่สหรัฐฯอีก”
นอกจากนี้ เขายังให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟอกซ์นิวส์ว่า เขาไม่ต้องการให้อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์และอิหร่านก็อย่ามาข่มขู่สหรัฐฯด้วย
ต่อมา ผู้นำสหรัฐฯระบุว่า เขาไม่ต้องการเข้าสู่สงครามเพราะจะเป็นการทำร้ายเศรษฐกิจและคร่าชีวิตผู้คน ในขณะที่พลเอกฮอสเซ็น ซาลามี ผู้บัญชาการกองทัพอิหร่านระบุว่าเขา อิหร่านก็ไม่ต้องการทำสงคราม แต่ก็ไม่กลัวหากต้องมีการเผชิญหน้าเช่นกัน
ทั้งนี้ ความตึงเครียดล่าสุดเกิดขึ้นหลังอิหร่านประกาศระงับการปฏิบัติตามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่ลงนามกับนานาชาติในปี 2558 และขู่ว่าจะกลับมาเดินหน้าเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียม ซึ่งใช้เป็นเชื้อเพลิงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์
ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านนั้นลงนามในสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา มีเป้าหมายเพื่อผ่อนคลายการคว่ำบาตรต่ออิหร่านแลกกับการระงับโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่นายทรัมป์กลับประกาศล้มข้อตกลงนี้เพียงฝ่ายเดียวเมื่อปีที่แล้ว โดยอ้างว่าเป็นข้อตกลงที่หลอกลวง และได้มีการกลับมาใช้มาตรการคว่ำบาตรใหม่
ต่อมาอิหร่านถูกกล่าวหาว่ามีการติดตั้งขีปนาวุธบนเรือของอิหร่านในอ่าวเปอร์เซีย และสหรัฐฯอ้างว่า อิหร่านโจมตีเรือบรรทุกน้ำมัน 4 ลำของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่อิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหานี้
ในขณะที่ ไม่กี่วันที่ผ่านมา สหรัฐฯได้ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินรบ ยูเอสเอส อัมบราฮัม ลินคอล์น เข้าไปในตะวันออกกลาง และกำลังร่างแผนส่งทหาร 120,000 นายเข้าไปประจำการในภูมิภาคด้วย นอกจากนี้ ก็สั่งให้เจ้าหน้าที่ทางการทูตออกจากอิรัก และกองทัพสหรัฐฯได้ยกระดับภัยคุกคามในตะวันออกกลาง จากกองกำลังต่างๆที่อิหร่านให้การสนับสนุน