“พระพิศาลประชานาถ” เจ้าอาวาสวัดสุทธาราม อดีตเด็กเกเร จนต้องเข้าไปอยู่ในสถานพินิจ ก่อนมุ่งมั่นทำความดี กลายเป็นพระนักพัฒนา ด้วยโครงการเพื่อสังคมมากมาย
วัดสุทธาราม เป็นอีกตัวอย่างของศาสนสถาน ที่ทำประโยชน์ให้กับผู้คนในชุมชน ผ่านโครงการต่างๆ มากมาย ทั้งในส่วนของวัด และมูลนิธิศรีรัตนโกสินทร์ ภายใต้การบริหารจัดการของ พระพิศาลประชานาถ เจ้าอาวาส อดีตเด็กเกเร ที่ชีวิตเคยพลาดพลั้ง จนต้องเข้าไปอยู่ในสถานพินิจ
แต่หลังจากสำนึกได้ ท่านก็มุ่งมั่นทำความดีอย่างไม่ลดละ สร้างประโยชน์ให้สังคมด้วยโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง วันนี้ท่านจึงได้รับการยกย่องในฐานะพระนักพัฒนา โดยท่านได้เมตตา ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวสปริงนิวส์ ดังต่อไปนี้
ชีวิตที่เคยพลาดพลั้ง
พระพิศาลประชานาถ ปัจจุบันอายุ 66 ปี ได้เล่าถึงชีวิตที่พลาดพลั้งช่วงวัยเยาว์และวัยรุ่นว่า “สมัยเราเป็นเด็ก เรามีความตรงกับโยมพ่อ เราเป็นเด็กหนีออกจากบ้าน เราจบแค่ ป.4 หนีออกจากบ้าน เราใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย... แล้วเราก็มีเพื่อนมากมายเยอะแยะ
“บั้นปลายชีวิตนักเลงเนี่ยนะ ตายโหง คุก พิการ ชีวิตเด็กเร่ร่อนเนี่ย ที่สุดของมันก็คืออะไร สถานฝึก สมัยนั้นเขาชื่อสถานฝึกบางนา 16 ไร่ บ้านกองแรกรับบ้านเมตตา อาตมาก็ไม่พ้นสิ่งเหล่านี้ไปในนั้น... เขาสอนอะไร เราก็พยายามศึกษา พิธีรีตองต่างๆ เราชอบเรื่องพวกนี้ โดยเราใช้ชีวิตในสถานฝึกตั้งแต่ปี 2512 มาถึง 2515 เกือบ 3 ปี”
จุดเปลี่ยนของชีวิต
“แม้ไม่อาจเปลี่ยนอดีตได้ แต่เราสามารถทำปัจจุบันให้ดีได้” คำกล่าวนี้น่าจะสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตของท่านได้เป็นอย่างดี โดยพระพิศาลประชานาถ ได้เล่าถึงเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ท่านเกิดความคิดที่ต้องการเปลี่ยแปลงตัวเองว่า “ครั้งนั้นจำได้ว่าปวดฟัน แล้วสถานพินิจคุ้มครองบางนา อยู่ที่ซอยสรรพวุธ เนี่ย หมอก็ส่งตัวเรามาถอนฟันที่สถานพินิจ ตรงสนามหลวงเนี่ย รถผ่านหน้าวัดพระแก้ว กับหน้าศาลหลักเมือง
“ไม่รู้อะไรดลจิตดลใจ เราก็ตัดสินใจ ชีวิตกูนี่พอแล้วมั้ง เลิกเถอะวะ ชีวิตบัดซบ ถ้าในใจคิดชีวิต...ของกูเนี่ย เลิกเถอะวะ ก็ตั้งจิตอธิษฐานพระแก้ว ศาลหลักเมือง ขอให้ลูกกลับเนื้อกลับตัว กลับใจให้ได้นะ ให้ชนะใจตัวเองนะ
“แล้วตั้งแต่นั้นมา...ถอนฟันเสร็จอะไรเสร็จ ไปอยู่ในบางนา (สถานพินิจ) ต่อไปเนี่ย บุหรี่เราก็เลิกสูบ เราก็พยายามทำให้ชนะใจตัวเราเองให้ได้
“แล้วพอใกล้จะออกเนี่ย เราโชคดีมีบุญ คล้ายว่าเราจะหมดกรรมแหละนะ เจอ หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร ซึ่งขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสถานพินิจคุ้มครองเด็กกลาง และ อาจารย์ประภาศน์ อวยชัย ท่านพาอาตมาไปบวชที่จิตตภาวันวิทยาลัย”
ต่อมาท่านก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดสุทธาราม และได้เริ่มโครงการต่างๆ แม้จะต้องประสบกับอุปสรรคมากมาย แต่ท่านก็พยายามผลักดันจนสำเร็จ เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
สถานพยาบาลฟอกไต มูลนิธิศรีรัตนโกสินทร์
พระพิศาลประชานาถ ได้ริเริ่มและดำเนินงานโครงการที่สร้างประโยชน์กับคนในชุมชนและประชาชนทั่วไปมากมาย อาทิ สถานพยาบาลฟอกไต มูลนิธิศรีรัตนโกสินทร์ ที่มีจุดเริ่มต้นจากการเป็นคลีนิกรักษาพยาบาลโรคทั่วไป ก่อนปรับเปลี่ยนมาเป็นสถานพยาบาลโรคเฉพาะทาง โดยคลีนิกดังกล่าวให้บริการรักษาผู้ป่วยอายุไม่เกิน 60 ปี
“เราก็มาตัดสินใจว่า จะให้เกิดประโยชน์กับส่วนรวมได้มากที่สุด เราก็ประชุมกัน พอประชุมกันเสร็จเรียบร้อย ก็มติกัน มีสองประเด็นว่า จะทำห้องล้างไต หรือจะทำฟัน ทีนี้ที่ประชุมก็ถกเถียงกันมาก ก็บอกว่า ถ้าเราจะทำฟันนี่ คนมันไม่ตาย มันปวดทุกข์ทรมาน แต่ไม่ตาย เราจึงตัดสินใจตามเสียงส่วนมาก ทำห้องล้างไต ก็เลยตัดสินใจทำห้องฟอกเลือดล้างไต เราก็พยายามศึกษาก่อน ศึกษาเสร็จจนเรียบร้อยจนเปิดได้
“ตั้งแต่ครั้งแรกมี 2 เครื่อง ปัจจุบันนี้มี 47 เครื่อง วันหนึ่งจะมีคนมาใช้บริการ 100 กว่าราย แล้วก็เก็บสตางค์นะ ไม่ใช่ไม่เก็บ เราเก็บตามอัตภาพ ร้อยนึงเราก็เก็บ 200 ก็เก็บ 500 ก็มี เราเก็บไม่เท่ากัน เพราะฐานะคนไม่เท่ากัน นิ้วคนยังไม่เท่ากันเลย เห็นไหม เราก็เก็บในลักษณะอย่างนี้
“เราก็เปิดมาเนี่ย ขาดทุนเนี่ย เดือนละประมาณ 7 แสน - 8 แสนบาท ทุกเดือน แต่เราก็ถือว่า เราพอพยุงตัวได้ เพราะเราเป็นมูลนิธิแล้ว แล้วก็ความเรื่องนี้ก็ทราบถึง สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดีราชธิดา รัชกาลที่ 6 ท่านก็ทรงรับมูลนิธินี้ไว้ในพระอุปถัมถ์ ตั้งแต่ปี 2531”
โรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม
และด้วยความที่ท่านเล็งเห็นว่า การศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาคุณภาพของคนในชุมชน จึงได้ดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนมัธยมวัดสุทธาราม ในเวลาต่อมา
“ในเขตคลองสานเนี่ย ไม่มีโรงเรียนมัธยมปลาย ไม่มีเลย เราก็เลยตัดสินใจว่า ใครๆ ก็มารับปากเราทั้งนั้นจะสร้างให้ จะสร้าง แต่ไม่มีปัญญาสร้างกันสักที เราก็เลยตัดสินใจลองทำดู ลองหมดไป 60 ล้าน ก็สร้างโรงเรียนมัธยมเสร็จ จากเด็ก 200 คน ปัจจุบันนี้พันกว่าคน เพราะเด็กสามารถสอบเข้าแพทย์ได้ สอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆ ได้หมดเลย”
โครงการอื่นๆ
นอกจาก ยังได้ดำเนินโครงการอื่นๆ อีกมากมาย อาทิเช่น ตลาด ที่เปิดพื้นที่ให้คนในชุมชนมาค้าขาย รวมถึงอาคารที่พักราคาถูก จำนวน 50 ห้อง เก็บค่าเช่าเพียงเดือนละ 1,500 บาท และได้มีจัดทำพิพิธภัณฑ์ชุมชน ให้ผู้สนใจได้เข้าเยี่ยมชมอีกด้วย
“ระหว่างเราหนีออกจากบ้านไป เราเป็นเด็ก ถ้าพูดแบบหยาบๆ เราเป็นเด็กแบบ... เราก็เอาโครงการที่เรามีประสบการณ์ เอามาพัฒนาตรงนี้ มันเป็นแรงผลักดันว่า จะทำอย่างไรไม่ให้ลูกหลานตกเป็นทาสแบบเรา”
อุดมการณ์ในการทำงานเพื่อสังคม
สุดท้ายนี้ ท่านได้กล่าวถึงอุดมการณ์ที่ในการทำงานว่า “ถ้าเกิดองค์กรไหนก็แล้วแต่ หรือแม้แต่พวกคุณก็ตามที ถ้ายึดอุดมการณ์ว่า เราไม่ได้ทำเพื่อลาภสักการะ ฉะนั้นเราจึงไม่กลัวยากจน เราไม่ได้ทำเพื่อความเป็นใหญ่ ฉะนั้นจึงไม่กลัวตกต่ำ เราไม่ได้ทำเพื่อให้ใครยกย่องสรรเสริญ จึงไม่กลัวตกต่ำ เราไม่ได้ทำเพื่อโลกียสุข หมายถึง สุขส่วนตัว จึงไม่ต้องกลัวทุกข์ยาก แต่เราทำเพื่ออนาคตอันสดใสของลูกหลาน ถ้าใครยึดมั่นตรงนี้ อาตมาว่า ทำได้กันทั้งนั้น”
แม้จะพลาดพลั้งเข้าสู่หนทางมืดมนในช่วงเริ่มต้น แต่ชีวิตเดียวกันนี้ ก็กลับกลายเป็นดังแสงที่ส่องสว่าง เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง กระทั่งเติบโตเป็นชีวิตที่ทรงคุณค่า และน่ายกย่องยิ่ง
สำหรับผู้มีจิตศรัทธา ต้องการช่วยเหลือโครงการต่างๆ ของวัดสุทธาราม และมูลนิธิศรีรัตนโกสินทร์ หากไม่สะดวกเดินทางมาที่วัด ก็สามารถบริจาคผ่านช่องทางธนาคารได้ ในชื่อบัญชี มูลนิธิศรีรัตนโกสินทร์ เลขที่บัญชี 113-1-16081-3 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-437-9678