ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th
"บีทีเอส"แฉบทวิเคราะห์ผิด 2 จุดใหญ่ ทำหุ้นร่วง 2 หมื่นล้าน
บีทีเอสประเดิมใช้กฎหมายหลักทรัพย์ฉบับปรับปรุงใหม่ ร้องก.ล.ต.สอบและกล่าวโทษบล.ภัทรฯ-นักวิเคราะห์ ทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดเรื่องฐานะการเงินและผลการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้าสีชมพูและสีเหลือง
-8 ก.ค. 60- หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3277 ระหว่างวันที่ 9-12 ก.ค.2560 สื่อในเครือสปริง กรุ๊ปรายงานว่า รายงานข่าวจากบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2560 ที่ผ่านมา บริษัทได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ตรวจสอบและกล่าวโทษบริษัทหลักทรัพย์ภัทรฯ และนักวิเคราะห์ กรณีออกบทวิเคราะห์หุ้น BTS ฉบับเผยแพร่วันที่ 27 มิถุนายน 2560 ให้ข้อมูลคลาดเคลื่อน หรือไม่ครบถ้วนอันอาจก่อให้เกิดความสำคัญผิดอย่างมีนัยสำคัญ 2 จุด ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดจนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นและการตัดสินใจลงทุน ทำให้ผู้ถือหุ้น นักลงทุนและบริษัท ได้รับความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฉบับปรับปรุงใหม่ มาตรา240-241
แหล่งข่าวกล่าวว่า นักวิเคราะห์บล.ภัทรฯมีการบิดเบือนและละเลยที่จะพิจารณาความถูกต้องของข้อมูลที่มีสาระสำคัญ 2 ประเด็นคือ การใช้สมมติฐานในการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสายสีเหลือง มูลค่าประมาณ 1 แสนล้านบาท โดยใช้สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (ดี/อี) เพียง 1 ต่อ 1 ซึ่งไม่เป็นความจริงและทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่า โครงการนี้ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน อัตราผลตอบแทนจากส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) ตํ่า ผิดไปจากข้อเท็จจริงที่ว่าเป็นโครงการที่ดี ได้รับการสนับสนุนจากธนาคาร
พาณิชย์หลายแห่ง ดี/อี น่าจะได้ 2-3 เท่าของทุน และโครงการใหญ่ขนาดนี้คงไม่มีใครใช้ส่วนของทุนถึง 5 หมื่นล้านบาท
ประเด็นที่ 2 คือ บีทีเอสให้บริษัทย่อยยืมเงินสำหรับการลงทุนในโครงการสายสีเขียวส่วน ต่อขยาย จำนวน 2 หมื่นล้านบาทซึ่งจะได้คืนในอีก 3 ปีข้างหน้าบริษัทไม่ได้ลงทุนฟรี โดยทางกทม.จะดำเนินการคืนให้ แต่นักวิเคราะห์ภัทร กลับไม่ได้ลงเงินจำนวนนี้ไว้ ทำให้เงิน 2 หมื่นล้าน บาทหายไปทันที ส่งผลต่อฐานะการเงินของบริษัทแหล่งข่าว กล่าวว่าข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ทำให้มีการปรับลดนํ้าหนักการลงทุนหุ้น BTS เหลือตํ่ากว่าตลาดและให้มูลค่าที่เหมาะสมเพียง 7.20 บาท จากเดิมให้ราคาเป้าหมาย 10.50 บาท
แต่เมื่อบีทีเอสมีการให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์ภัทรจึงมีการออกบทวิเคราะห์ฉบับใหม่วันที่ 4 กรกฎาคม 2560 โดยไม่ได้ยอมรับผิด เพียงปรับปรุงเพราะว่าได้รับข้อมูลใหม่และเพิ่มมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมเป็น 8.27 บาท ตํ่ากว่านักวิเคราะห์หลายบริษัทคาดการณ์ไว้เกือบ 10 บาทต่อหุ้น “นับตั้งแต่วันที่ 16 มิถุนายน 2560 ที่มีการเซ็นสัญญาหุ้น BTS มีสัญญาณที่ดี ราคาปรับตัวขึ้นและมูลค่าการซื้อขายก็เพิ่มขึ้น แต่เมื่อภัทรรีบออกบทวิเคราะห์ออกมา ก่อนที่บริษัทจะนัดพบนักวิเคราะห์ทุกคนในวันที่ 29 มิถุนายน ทำให้ราคาหุ้นลดลง 20 สตางค์ มลู ค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดหายไป 2 หมื่นล้านบาท จนถึงวันนี้ราคาหุ้นก็ยังไม่ดีขึ้น แม้ว่าภัทรจะออกบทวิเคราะห์ฉบับปรับปรุงมาแล้วก็ตาม จึงต้องการเร่งให้ก.ล.ต.พิจารณาเพื่อพทิ กั ษผ์ ลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น” แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงปลายปี 2559 มีการแก้ไขพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มเติมความผิดในส่วนการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์แบ่งเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มที่ 1
การเปิดเผยข้อมูลที่อาจทำให้ผู้ลงทุนและตลาดทุนเสียหายมาตรา 40 ห้ามมิให้ผู้ใดแพร่ข่าวอันเป็นความเท็จให้เลื่องลือจนอาจทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ใดจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง และมาตรา 241 การวิเคราะห์/คาดการณ์ข้อมูลใดๆเกี่ยวกับบจ.
ที่ใช้ข้อมูลเท็จหรือบิดเบือนหรือไม่ครบถ้วน โดยละเลยที่จะพิจารณาความถูกต้อง นำมาใช้เปิดเผย/ให้ความเห็นต่อประชาชน น่าจะมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์หรือการตัดสินใจลงทุน
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์ กล่าวว่า สมาคมยังไม่เข้าไปประสาน
งาน ยกเว้นก.ล.ต.จะขอให้เข้าไปช่วย ส่วนการใช้กฎหมายใหม่ ก็ไม่มีผลต่อการทำงาน เพราะนักวิเคราะห์ทุกคนเข้าใจดีเรื่องการรายงานข้อมูลเท็จ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและเป็นความผิด
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3277 ระหว่างวันที่ 9-12 ก.ค.2560