จับกุมเลขาธิการและกรรมการพรรคการเมืองดังอ้างโครงการร่วมลงทุนพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ 2 ฝั่งโขง มีผู้เสียหายทั่วประเทศหลงเชื่อสูญเงิน 75 ล้านบาท
วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 ที่หน้า กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พ.ต.อ.ทรงพล บริบาลประสิทธิ์ รอง ผบก.ภ.จว.อุดรธานี พ.ต.อ.วิธ มุทรสินธุ์ ผกก.กก.สส.ภ.จว.อุดรธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ภ.จว.อุดรธานี ร่วมแถลงข่าวการจับกุม 1.นายธนวัสถ์ นิลธนะพันธ์ หรือ บอสอมร อายุ 58 ปี เลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง อยู่ที่ 448 ม.3 ต.บ้านเลื่อม อ.เมือง จ.อุดรธานี ตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ จ.72/2563 ลงวันที่ 28 เมษายน 2563
และ 2.นางเปี่ยมสุข แก้วมงคล หรือ บอสอุ้ม อายุ 52 ปี กรรมการบริหารพรรคการเมืองเดียวกัน อยู่ที่ 56 ม.10 ต.ปากปวน อ.วังสะพุง จ.เลย ตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ที่ จ.73/2563 ลงวันที่ 28 เมษายน 2563 ในข้อกล่าวหา “ร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ประชาชน” พร้อมตรวจยึด 1.สมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ ทั้งของไทย และ สปป.ลาว จำนวน 128 เล่ม 2.บัตรกดเงินสด ATM จำนวน 69 ใบ 3.โทรศัพท์มือถือและแท็ปเล็ต 5 เครื่อง 4.เอกสารประกอบการนำเสนอโครงการร่วมลงทุนโครงการ “พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ 2 ฝั่งโขง” จำนวน 1 ชุด
พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผบก.ภ.จว.อุดรธานี กล่าวว่า ด้วยเมื่อวันที่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจาก น.ส.เอ นามสมมุติ ชาวบ้าน ต.คลองขาม อ.ยางตลาด จ.กาพสินธุ์ ประกอบอาชีพรับเหมาก่อสร้าง เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ว่าเมื่อประมาณเดือนพฤษภาคม 2562 ได้มีนายธนวัสถ์ นิลธนะพันธ์ และ กรรยา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รับเหมาด้วยกัน ได้มีการชักชวนให้ร่วมลงทุนในโครงการ “พัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ 2 ฝั่งโขง” ในท้องที่ ต.สระใคร อ.สระใคร จ.หนองคาย โดยอ้างว่า มีมูลค่าการลงทุนประมาณ 795,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการร่วมกันระหว่างประเทศไทย และ สปป.ลาว
ซึ่งในการดำเนินการในโครงการดังกล่าวนั้น หากต้องการร่วมในการลงทุน ผู้ร่วมลงทุนจะต้องจัดซื้อที่ดินรวม เพื่อดำเนินการจำนวน 3.,000 ไร่ ซึ่งทางกลุ่มผู้ต้องหาได้อ้างว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้น ที่ดินอยู่ในราคาไร่ละ 25 ล้านบาท ต้องใช้งบประมาณในการลงทุน 8,500 ล้านบาท และเมื่อสามารถขายโครงการ จะได้กำไรหลายล้านล้านบาท และทางกลุ่มผู้ต้องหายังอ้างว่าเงินโครงการดังกล่าว ธนาคารโลก ได้โอนผ่านมายัง สปป.ลาว แล้ว และกลุ่มผู้ต้องหามีอำนาจในการเบิกจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวได้ และมีการนำภาพถ่ายของผู้มีชื่อเสียงทางการเมืองมาแสดงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
ซึ่งหากผู้ใดที่ร่วมลงทุนจะปันผลกำไรจากการร่วมลงทุน จากการจัดซื้อที่ดิน ช่วงแรกมีการเสนอการร่วมลงทุน 1,000 บาท จะได้ค่าตอบแทน 5 ล้านบาท และยังมีการเสนอโปรโมชั่นเพิ่มผลกำไรในการลงทุนอีกหลายรูปแบบ เช่น ลงทุน 1,000 บาท จะได้ค่าตอบแทน ตั้งแต่ 8 ล้านบาท ไปจนถึง 16 ล้านบาท ทำให้มีผู้เสียหายหลายคนหลงเชื่อ และระดมเงินเพื่อร่วมลงทุนหลายราย ซึ่งหลังจากที่มีการร่วมระดมทุนในการจัดซื้อที่ดินแล้ว ประมาณปลายเดือนมกราคม 2363 กลุ่มผู้ต้องหาได้อ้างว่า เงินจากโครงการที่ได้มีการชักชวนนั้น กำลังจะมีการอนุมัติและโอนจ่ายให้กับผู้ร่วมลงทุน เพื่อต้องการให้ผู้ที่ร่วมลงทุนได้รับเงินปันผลมากขึ้น และเป็นการทดสอบระบบการเบิกจ่ายเงิน จะต้องร่วมลงทุนในระบบชื่อว่า “โปรโบนัสเทสระบบ” ซึ่งหากลงทุน 1,000 บาท จะได้เงินปันผล 15 ล้านบาท
โดยการนำแสนอโครงการของกลุ่มผู้ต้องหานั้น มีการผัดผ่อนและอ้างเหตุผลในการจ่ายเงินให้กับผู้ร่วมลงทุนมาโดยตลอด จนถึงเดือนมีนาคม 2563 กลุ่มผู้เสียหายไม่สามารถติดต่อกับกลุ่มผู้ต้องหาได้ จึงมั่นใจว่าถูกหลอก เมื่อรวมมูลค่าความเสียหาย ที่มีผู้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ พบว่ามีมูลค่าความเสียหายรวมสูงถึง 75 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหวัดอุดรธานี ต่อมาตำรวจสืบทราบว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน หลบหนีไปพักอาศัยอยู่ที่คอนโดมีเนียม ในซอยลาดพร้าว 130 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร จึงนำหมายค้นของศาลอาญาที่ ค.312/2563 ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2563 เข้าทำการตรวจค้น พบผู้ต้องหาทั้ง 2 กำลังเก็บของ เพื่อย้ายที่อยู่หลบหนี จากการตรวจค้นพบสมุดบัญชีธนาคารต่าง ๆ บัตรกดเงินสด พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุ ภาพถ่ายและภาพการสนทนาระหว่างกลุ่มผู้ต้องหาและบุคคลที่มีชื่อเสียง
จากการสอบถามผู้ต้องหาทั้ง 2 ให้การยอมรับว่า เป็นผู้ที่ชักชวนให้กลุ่มผู้เสียหายร่วมลงทุนจริง แต่ให้การปฏิเสธ บอกว่าโครงการดังกล่าวมีอยู่จริง ไม่ได้มีเจตนาในการหลอกลวง แต่เงินตามโครงการนั้นอยู่ในช่วงระหว่างดำเนินการเบิกจ่าย ทางเจ้าหน้าที่จึงจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 ตามหมายจับของศาลจังหวัดอุดรธานี และตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และจากการขยายผลเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจพบยอดเงินหมุนเวียนในบัญชีมากกว่า 100 ล้านบาท จึงเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกหลายราย หากผู้เสียหายรายใด ได้เคยถูกก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน สามารถติดต่อแจ้งความเพิ่มได้ที่กองกำกับการสืบสวน ภ.จว.อุดรธานี
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายธนวัสถ์ นิลธนะพันธ์ หรือ บอสอมร เลขาธิการพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง และ นางเปี่ยมสุข แก้วมงคล หรือ บอสอุ้ม กรรมการบริหารพรรคการเมืองเดียวกัน โดยทั้ง 2 คน ตั้งตัวเป็นบอสสายทุนพัฒนาชีวิต 2 ฝั่งโขง แก๊งเงินบุญขายโปรร้อยแลกล้าน มีคนหลงเชื่อทั่วประเทศเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีข้าราชการบางรายในภาคเหนือ สูญเงินเกือบ 3 ล้านบาท แต่ไหวตัวทันขอคืนทุนได้ครบ ขณะที่บุคคลทั้ง 2 ยังมีหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ กรุงเทพฯ คดีฉ้อโกง หมดอายุความ ปี 2569 และศาลจังหวัดเลย ออกหมายจับ หลังหลบหนีไม่ไปฟังคำพิพากษาศาล คดีฉ้อโกงเงินยางพารา เพิ่งหมดอายุความวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา
สำหรับโครงการทุนพัฒนาชีวิต 2 ฝั่งโขง มีการแอบอ้างแหล่งเงินทั้งจากธนาคารโลก และองค์การสหประชาชาติ หรือ UN โดยดำเนินการผ่าน 2 โครงการหลัก ได้แก่ โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษใน สปป.ลาว และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ จ.หนองคาย เพื่อเป็นโมเดลนำร่อง ซึ่ง สปป.ลาว เป็นต้นขั้วในการกระจายตั๋วเงินมาพัฒนาประเทศไทย โดยแอบอ้างว่า ทั้ง 2 บอส เป็นตัวแทนประเทศไทยในการดำเนินการดังกล่าว มีการเรียกเงินค่าดำเนินการจากสมาชิกเป็นระยะ เช่น ค่าคีย์การ์ด กว่า 2 ล้านบาท ซึ่งปกติแล้ว เป็นบริการของธนาคารไม่มีค่าใช้จ่าย และพบว่ามีการเลื่อนนัดจ่ายผลตอบแทนให้สมาชิกอย่างต่อเนื่อง จนมีการเข้าแจ้งความ และถูกจับกุมดังกล่าว