svasdssvasds

เพื่อไทยจวกใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือการเมือง รื้อคดี“โอ๊ค พานทองแท้”

เพื่อไทยจวกใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือการเมือง รื้อคดี“โอ๊ค พานทองแท้”

ติดตามข่าวสารได้ที่ https://www.springnews.co.th

 

“ชูศักดิ์” ชี้ การรื้อคดี“โอ๊ค พานทองแท้” คือผลพวงของรัฐประหารที่ใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งที่ DSI ชุดเก่ามีมติไม่ฟ้องไปแล้ว

 

นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี DSI ได้แถลงมติของคณะพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ 6 ก.ย. 60 ให้แจ้งข้อหาฟอกเงิน แก่นายพานทองแท้ ชินวัตร และพวก โดยให้รวบรวมพยานหลักฐานให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน นั้น

จากการติดตามรายละเอียดต่างๆ ของคดีนี้ พบว่า คดีเริ่มต้นเมื่อมีการรัฐประหารรัฐบาลนาย ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ. 2549 มีการจัดตั้ง คตส.มีการสอบสวนเอาผิดรัฐบาลในอดีตหลายคดี รวมทั้งคดีการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้กับบริษัท กฤษดามหานคร คตส.ได้มีมติให้ฟ้องร้องนายทักษิณและผู้เกี่ยวข้องหลายคนรวมถึงนายพานทองแท้ ว่าเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ของรัฐให้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานและความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

 

โดยคดีดังกล่าวอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องนายพานทองแท้ และพวก ครั้นเมื่อมีการโอนคดีจาก คตส. มายัง ป.ป.ช. ภายหลัง คตส.สิ้นสุดลง ป.ป.ช. ก็มิได้นำคดีมาฟ้องร้องนายพานทองแท้ กับพวกแต่อย่างใด ซึ่งโดยปกติเรื่องก็ควรจะยุติสิ้นสุด

 

ภายหลังรัฐประหาร 2557 มีการหยิบยกประเด็นให้มีการดำเนินคดีกับนายพานทองแท้ กับพวก ในความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน และข้อหารับของโจร ได้มีการตั้งพนักงานสอบสวน ซึ่งมีรองอธิบดี DSI และพนักงานอัยการ ร่วมเป็นคณะพนักงานสอบสวน

ซึ่งในที่สุดได้มีมติยุติข้อหารับของโจร เนื่องจากขาดอายุความ ส่วนข้อหาตามกฎหมายฟอกเงิน เห็นว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ หลังจากนั้นกลับมีข่าวสั่งย้ายรองอธิบดี DSI คนดังกล่าวไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและมีการเปลี่ยนแปลงแต่งตั้งพนักงานสอบสวนชุดใหม่

โดยให้อธิบดีDSI มาเป็นประธาน สับเปลี่ยนตัวบุคคลซึ่งเป็นผู้แทนของสำนักงานอัยการสูงสุด และในที่สุดก็ได้มีมติออกมาดังกล่าว คือให้แจ้งข้อหาความผิดตามก.ม.ฟอกเงินซึ่งพนักงานสอบสวนชุดเก่าบอกว่าพยานหลักฐานไม่เพียงพอ

 

ซึ่งหากพิจารณาข้อเท็จจริงตั้งแต่ต้นมาโดยลำดับ อาจพิจารณาและตั้งคำถามได้ว่า กรณีอาจเข้าข่ายลักษณะเป็นการใช้กลไกและอำนาจทางกฎหมายเป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือไม่ จากหนังสือร้องเรียนของรองอธิบดี DSI ที่ปรากฏทางสื่อทั้งหลายส่อให้เห็นว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และใช้องค์กรในกระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือทางการเมือง และอาจเข้าใจได้ว่าทั้งหมดเป็นผลพวงของการรัฐประหารอีกเช่นกันนั่นเอง

 

จึงเป็นที่น่าห่วงใยว่าการที่เรามีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่าการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฏหมายและหลักนิติธรรมนั้น จะมีผลในทางปฏิบัติโดยแท้จริงหรือไม่

related