SHORT CUT
Tatler Asia ชี้ปี 2025 แฟชั่นจะเน้นตัวตน การปรับแต่ง วินเทจ เทคโนโลยี และความลื่นไหลทางเพศ พร้อมผลักดันความยั่งยืน เตรียมพลิกโฉมอุตสาหกรรม
Sarah Fung ผู้ก่อตั้ง The Hula แพลตฟอร์มแฟชั่นมือสองชั้นนำ และอดีตผู้เชี่ยวชาญจาก WGSN บริษัทคาดการณ์เทรนด์ระดับโลก กล่าวว่า
"วัฒนธรรม ศิลปะ ดนตรี เทคโนโลยี และปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ล้วนมีอิทธิพลต่อการออกแบบและกระแสความนิยม"
ในปี 2025 จะเห็นการกลับมาของสไตล์ส่วนตัวอย่างชัดเจน ดังที่ปรากฏในคอลเลกชันฤดูใบไม้ผลิ/ฤดูร้อน 2025 ของแบรนด์ดังอย่าง Prada และ Saint Laurent ที่เน้นการแต่งกายเพื่อตัวเองมากกว่าการตามกระแส
Tracey Cheng รองประธานฝ่ายจัดซื้อสินค้าของ I.T. ให้ความเห็นว่า "สไตล์ส่วนตัวสามารถอยู่ร่วมกับเทรนด์ได้เสมอ จะมีกลุ่มคนที่ไม่ตามเทรนด์ แต่เลือกซื้อและสวมใส่เสื้อผ้าตามความชอบ หรืออาจเข้าใจเทรนด์แต่ตีความในแบบของตัวเอง"
ขณะที่ Kay Kwok ดีไซเนอร์แห่ง KWK by Kay Kwok เสริมว่า "ความเป็นตัวของตัวเองยังหมายถึงการทดลองใช้วัสดุที่ไม่ธรรมดา เช่น การพิมพ์ 3 มิติ และศิลปะดิจิทัล เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่สวมใส่ได้และท้าทายขนบเดิม"
ความต้องการสินค้าที่ปรับแต่งได้เฉพาะบุคคล (Customization) โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ กำลังเพิ่มสูงขึ้น Kay Kwok ชี้ว่า "ตั้งแต่สีที่กำหนดเองไปจนถึงดีไซน์
ความต้องการนี้จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่" การปรับแต่งยังช่วยส่งเสริมแฟชั่นที่ยั่งยืน เพราะ "กระตุ้นให้ผู้บริโภคลงทุนกับสินค้าที่มีความหมายน้อยชิ้นลง แต่สะท้อนตัวตนได้ชัดเจน ลดขยะจากแฟชั่นแบบฟาสต์แฟชั่น"
อย่างไรก็ตาม Cheng เตือนว่าการนำเสนอการปรับแต่งในร้านค้าปลีกนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย "ต้องมีข้อจำกัด ไม่เช่นนั้นจะจัดการได้ยาก ต้นทุนการผลิตอาจพุ่งสูงหากปรับเปลี่ยนได้ไม่จำกัด"
แฟชั่นวินเทจกำลังกลับมาได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม และคาดว่าจะเติบโตยิ่งขึ้นในปี 2025 Fung กล่าวว่า "ผู้บริโภคกำลังมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์แฟชั่นเพื่อเพิ่มเอกลักษณ์ให้สไตล์ของตนเอง" สินค้าวินเทจมักมีคุณภาพวัสดุและการตัดเย็บที่เหนือกว่า เนื่องจากผลิตขึ้นก่อนยุคการผลิตจำนวนมาก
"Chanel วินเทจยุค Karl Lagerfeld หลายคนมองว่าคุณภาพและการออกแบบดีกว่าปัจจุบัน" เธอยังเสนอให้แบรนด์ต่างๆ พิจารณานำสินค้าเก่าในคลังมาขายใหม่ หรือสร้างคอลเลกชันจากวัสดุรีไซเคิล (Upcycled)
เทคโนโลยีกำลังหลอมรวมเข้ากับการออกแบบแฟชั่น Derek Chan จากแบรนด์ Demo ที่เน้นความลื่นไหลทางเพศ กล่าวว่า "เทคโนโลยีกำลังปฏิวัติวิธีที่นักออกแบบสร้างสรรค์ผลงาน เรามองว่าการพิมพ์ 3 มิติและผ้าอัจฉริยะเป็นสื่อกลางในการเล่าเรื่อง"
Kay Kwok เสริมว่า "ทักษะใหม่ๆ เช่น การสร้างโมเดล 3 มิติ การเขียนโค้ด หรือ AI กำลังกลายเป็นเครื่องมือสำคัญของดีไซเนอร์ยุคใหม่"
แม้เทคโนโลยีจะมีบทบาทในการออกแบบ แต่ Cheng ชี้ว่าในด้านค้าปลีก ประสบการณ์การสัมผัสสินค้าจริงในร้านยังคงสำคัญสำหรับผู้บริโภค
กระแสความลื่นไหลทางเพศ (Gender Fluidity) ที่คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z ให้การยอมรับ ส่งผลให้ความต้องการคอลเลกชันที่ไม่แบ่งแยกเพศเพิ่มสูงขึ้น
งานวิจัยจาก Klarna บริษัทฟินเทคเผยว่า เกือบ 50% ของผู้บริโภค Gen Z ทั่วโลกเคยซื้อสินค้าแฟชั่นที่ไม่ตรงกับเพศสภาพของตนเอง และราว 70% สนใจซื้อสินค้าแฟชั่นที่ลื่นไหลทางเพศในอนาคต
Derek Chan ซึ่งแบรนด์ Demo ของเขายึดหลักปรัชญานี้ กล่าวว่า
"Gen Z กำลังท้าทายบรรทัดฐานดั้งเดิม เสื้อผ้าควรเป็นสื่อกลางในการแสดงออกตัวตนมากกว่ากรอบที่แบ่งแยกเพศ" ซึ่งหมายถึงการออกแบบที่เน้นความหลากหลาย ความเป็นกลาง และการรวมทุกกลุ่มคน
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักคือระบบการค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่แบ่งแยกตามเพศ Chan เสนอให้ร้านค้าปลีก "คิดใหม่ในการจัดคอลเลกชันตามสไตล์ ฟังก์ชัน หรือการแสดงออกส่วนบุคคล แทนที่จะแบ่งตามเพศ"
ที่มา : Tatler Asia