SHORT CUT
ตำรวจแถลงแล้ว คาด 6 ศพเวียดนามวางยาฆ่ากันเอง พบสารไซยาไนด์ในถ้วยชาทั้ง 6 แก้ว คาดปมถูกชักชวนลงทุนสร้างโรงพยาบาลในญี่ปุ่น นัดเคลียร์เจ้าหนี้-นายหน้า
วันที่ 17 ก.ค. 67 พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. แถลงข่าวปมพบศพชาวเวียดนาม 6 รายเสียชีวิตในห้องพักหมายเลข 502 โรงแรมย่านราชประสงค์ หลังตรวจพิสูจน์หลักฐานและสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องในเบื้องต้น แถลงที่มาที่ไปของบุคคลทั้ง 6 ดังกล่าว และบุคคลที่ 7 จะมีหรือไม่อย่างไร โดยแทนผู้เสียชีวิตทั้ง 6 เป็นหมายเลขต่างๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ ดังนี้
ปรากฏว่าคนที่หนึ่ง ผู้หญิงเสื้อสีขาว มีอายุ 46 ปี เดินทางเข้าประเทศไทยครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 โดยสายการบินเวียดนามแอร์ไลน์ ถึงกรุงเทพเวลา 13.48 น. เดินทางมาจากเมืองโฮจิมินห์ เมื่อมาถึงแล้วเข้าที่พักห้อง 502 หลังจากนั้นวันที่ 13 กรกฎาคมย้ายที่ห้อง 708 วันที่ 14 อยู่ในห้อง 708 วันที่ 15 ได้เวลาเช็คเอาท์ออกจากห้อง 708 เดินออกมาจากห้อง 708 และลากกระเป๋ามารวมเข้ามาในห้อง 502 และวันที่ 16 ตำรวจพบศพ
คนที่สองเป็นผู้หญิงใส่เสื้อสีชมพู สัญชาติเวียดนาม อายุ 47 ปี เสียชีวิตอยู่ในห้องนอน เดินทางเข้ามาตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 เวลา 12.56 น. เคยเดินทางเข้าออกประเทศไทยทั้งหมด 17 ครั้ง วันที่ 12 เข้ามาพักห้อง 1215 จนถึงวันที่ 13 ต่อมาวันที่ 14 ย้ายไปพักห้อง 709 แล้ววันที่ 15 เช็คเอาท์ออกแล้วมารวมตัวที่ห้อง 502
คนที่สาม เพศชาย อายุ 37 ปี เข้าเมืองไทยวันที่ 12 กรกฎาคม เวลา 12.28 น. เดินทางเข้าประเทศไทยมาทั้งหมด 11 ครั้งแล้ว เข้ามาเช็คอินที่ห้อง 1219 ในวันที่ 12 กรกฎาคมจนถึงวันที่ 13 กรกฎาคม ต่อมาย้ายย้ายไปห้อง 726 ในวันที่ 14 กรกฎาคม-15 กรกฎาคม แล้วเช็คเอาท์ไปอยู่ที่ห้อง 502
คนที่สี่ เป็นเพศชาย สัญชาติอเมริกัน อายุ 55 ปี ใส่เสื้อสีกรมท่านอนเสียชีวิตอยู่ใกล้หมายเลข 1 เดินทางเข้าเมืองไทยตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2567 เวลา 09.55 เดินทางเข้าออกประเทศไทยแค่เพียงครั้งเดียวเช็คอินวันที่ 12 ห้อง 1212 อยู่จนถึงวันที่ 13 จากนั้นย้ายไปห้อง 727 ในวันที่ 14 แล้วอยู่จนถึงวันที่ 15 แล้วมาพบศพในวันที่ 16
คนที่ห้า เป็นผู้หญิง เชื้อชาติเวียดนาม แต่สัญชาติอเมริกัน อายุ 56 ปี เดินทางเข้าเมืองไทยวันที่ 5 กรกฎาคมเวลา 13.05 น. เคยเข้าเมืองไทยมาทั้งหมด 5 ครั้งเข้าเช็คอินที่ห้อง 504 วันที่ 12 กรกฎาคมแล้วย้ายไปห้อง 808 ในวันที่ 13 กรกฎาคม ย้ายไปห้อง 502 ในวันที่ 14 ถึง 15 กรกฎาคม ซึ่งเป็นห้องที่เกิดเหตุ จนพบศพในวันที่ 16 กรกฎาคม
คนที่หก อายุ 49 ปี สัญชาติเวียดนาม เข้าเมืองไทยวันที่ 12 กรกฎาคม 2567 เวลา 13.48 น. เคยเข้าเมืองไทยแค่เพียงครั้งเดียว ซึ่งไม่พบประวัติการเข้าพักในโรงแรม จากการตรวจสอบข้อมูลจากญาติพบว่า หมายเลขหกคือสามีของหมายเลขหนึ่ง ซึ่งเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกันวันที่ 12 กรกฎาคม 2567
ต่อมา วันที่ 5 กรกฎาคม หมายเลขห้าคือผู้หญิงที่เป็นสัญชาติอเมริกันเดินทางเข้ามาในประเทศไทยแล้วเข้ามาพักที่โรงแรม
วันที่ 7 กรกฎาคม บุคคลหมายเลขสี่ สัญชาติอเมริกัน เพศชาย เดินทางเข้าประเทศไทย
แล้วในวันที่ 12 กรกฎาคมเดินทางเข้ามาทั้งหมดสามคน โดยสองคนเป็นสามีภรรยากันเดินทางมาจากเมืองโฮจิมินห์เข้ามาพักในโรงแรมแห่งนี้ และหมายเลขสามซึ่งเป็นวัยรุ่นเดินทางมาจากเมืองดานัง
จากการตรวจสอบการจองห้องพักในเว็บไซต์ Booking.com พบว่ามีการจองมาทั้งหมด 7 คน และคนที่ 7 ปรากฏว่าเป็นน้องสาวของ หมายเลขสอง เดินทางเข้าไทยพร้อมกันในวันที่ 4 กรกฎาคม แล้วเดินทางกลับไปเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม ก่อนแล้วในวันที่ 10 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่ได้รายชื่อทั้ง 7 รายครบถ้วนแล้ว
พบว่าการมาเช็คอินในโรงแรมดังกล่าว แต่ละคนเดินทางมาเช็คอินด้วยตัวเอง แล้วเข้าพักตามห้องที่นำเรียนไปแล้ว ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดแปลกปลอมเข้าไปพักร่วมด้วยเลย จึงสรุปได้ว่ามีเพียงแค่ 6 คนที่เข้ามาพักตามการจองดังกล่าวนี้
และจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในวันที่ 15 เพื่อค้นหาว่ามีบุคคลภายนอกหรือผู้หนึ่งผู้ใดเข้ามาในพื้นที่เกิดเหตุบ้างหรือไม่ ในเวลานี้ยืนยันได้ว่ามีเพียงแค่ 6 คนเข้าไปในห้องพักหมายเลข 502 แล้วเสียชีวิต ไม่มีบุคคลภายนอกใดๆเข้าไป ในห้องที่เกิดเหตุเลย
หลังจากที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุในวันที่ 16 กรกฎาคม เวลา 16:30 น. ว่าพนักงานโรงแรมเข้าไปตรวจสอบ เนื่องจากเลยเวลาเช็คเอาท์ แล้วเรียก รปภ.เข้าไปดู ใช้ไฟฉายส่องตรงช่องประตูเห็นคนนอนที่พื้นนึกว่าคนเป็นลม จึงไปนำเครื่องปั๊มหัวใจเพื่อจะมาช่วยเหลือ แล้วพบว่าประตูด้านหน้าห้องถูกปิดล็อคจึงได้อ้อมไปที่หลังห้อง และได้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่ด้านหลังแล้วไม่พบบุคคลใดเข้าไปนอกจาก รปภ. เมื่อตรวจสอบประตูด้านหลังไม่มีการล็อกไว้จึงเข้าไป เดินข้ามศพมาเปิดประตูหน้าห้อง
ในวันที่ 14 กรกฎาคมพบว่าผู้เสียชีวิตหมายเลขห้า เป็นคนเช่าพักห้องหมายเลข 502 เป็นผู้หญิง แต่หมายเลข 1,2,3,4,6 ได้เข้ามาในห้องพักดังกล่าวตั้งแต่คืนวันที่ 14 ช่วง 23:00 น. ถึง 24:00 น. แล้วแยกย้ายกลับห้องพัก
จนวันที่ 15 กรกฎาคมช่วง 12.30 น. หมายเลข 1,2,3,4,6 เช็คเอาท์ ต่างคนก็ต่างลากกระเป๋ามาที่ห้อง 502 จากนั้นผู้ชายหมายเลข 4 ได้สั่งอาหารจากโรงแรม ในเวลา 11.42 น. โดยสั่งข้าวผัด 5 จาน ต้มยำกุ้ง 4 ที่ ผัดผัก 4 ที่ ผัดผักบุ้ง 1 ที่ และชาร้อนซึ่งเป็น English Tea 2 กา พร้อมแก้วน้ำชาหกใบ ถัดมาปรากฏว่า หมายเลขสาม ได้โทรสั่งข้าวผัดเพิ่มอีกหนึ่งจานเป็นจานที่ 6 และขอให้นำมาส่งที่ห้องช่วง 14.00 น.
กล้องวงจรปิดจับภาพพนักงานเข้าไปในห้องเวลา 13.51 น. และออกมาเวลา 13.57 น. เข้าไปทั้งหมด 6 นาที ตอนเข้าไปพบเพียงผู้หญิงหมายเลขห้าอยู่ในห้องดังกล่าวเป็นผู้รับอาหาร และเครื่องดื่มคือน้ำชา โดยพนักงานยืนยันว่าได้นำอาหารทั้งหมดไปวางไว้ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมในห้อง ส่วนชุดชาเครื่องแก้วและกาน้ำร้อนไปวางที่โต๊ะกลม ซึ่งในภาพปัจจุบันเป็นการวางอาหารอยู่ ทางพนักงานบอกว่าจะขอชงชาให้ แต่ผู้หญิงหมายเลขห้าบอกว่าไม่ต้องเดี๋ยวจัดการเอง พนักงานใช้เวลาในห้องพักประมาณ 6 นาทีแล้วก็ออกมา
ส่วนกองพิสูจน์หลักฐาน พบสารไซยาไนด์ที่ถ้วยชาในห้องพัก ในแก้วทั้ง 6 ใบ ดังนั้นฝ่ายสืบสวนสอบสวนขอยืนยันในเวลานี้ว่า ในการพบทั้ง 6 ศพ แสดงว่า 1 ใน 6 หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟนำถ้วยชากับกระติกน้ำร้อนสองอัน กานมและกาน้ำชาอีกสองอัน วางอยู่ในที่เกิดเหตุ เข้าไปในห้องในช่วงเวลา 13.57 น. และออกมา นั่นคือจุดสำคัญของเหตุการณ์ในครั้งนี้ ว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งเป็นหนึ่งในหกคนนั้น ทำให้เกิดเหตุเรื่องนี้โดยใช้สารไซยาไนด์ และจะยืนยันด้วยหลักฐานจากการชันสูตรพลิกศพอีกครั้ง
จากการสอบสวนญาติพี่น้อง มีประเด็นติดใจคือ หมายเลข 5 กับหมายเลข 2 ที่เป็นผู้หญิง เป็นนายหน้ามาชักชวนลงทุน โดยฝ่ายสามีภรรยาคือหมายเลข 1,6 ได้ร่วมลงทุนไปทั้งหมด 10 ล้านบาทไทยและมอบเงินให้กับหมายเลข 5 ไปแล้ว และการดำเนินการยังไม่เป็นผลจึงมีการทวงถามมาโดยตลอด
สุดท้ายมีการนัดหมายจะไปเคลียร์กันที่ประเทศญี่ปุ่น แต่ติดขัดเรื่องการขอวีซ่า จึงนัดหมายมาที่เมืองไทยและจะไปไหว้พระที่วัดยานนาวาด้วย วันนี้จะมีการสอบสวนเพิ่มเติมและจะมีการขอข้อมูลจากทางสถานทูตสหรัฐด้วย
พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ จึงยืนยันในขณะนี้ว่า กรณีนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลทั้ง 6 ราย ไม่เกี่ยวกับแก๊งค์หรือองค์กรอาชญากรรมใดที่จะมาก่อเหตุในประเทศไทย