SHORT CUT
เอกชนแนะรัฐหากมีกระสุนไม่มาก! ต้องยิงกระสุนให้ตรงจุด ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจไทยตอนนี้อ่อนแอมากๆ พ่อค้าแม่ขายในท้องตลาดต่างโอดครวญ พามาฟังเสียงภาคเอกชน ที่แนะรัฐบาล “เปิดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ” ต้องยิงกระสุนให้ตรงจุด ถึงจะมีประสิทธิภาพ ชี้ มีบางอุตสาหกรรมที่โต เช่น อุตสาหกรรมหนังไทยเข้าสู่ 'ยุคทอง' โตแรงสุดรอบ 30 ปี
ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยตอนนี้อ่อนแอมากๆ พ่อค้าแม่ขายในท้องตลาดบ่นอุบว่าขายของไม่ได้ คนไม่มีกำลังซื้อ หนี้ครัวเรือนพุ่งมหาศาล ประชาชนได้แต่ตั้งความหวังว่ารัฐจะ “เปิดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ” ชุดใหญ่มากระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ได้โงหัวขึ้นมาสักนิดก็ยังดี ล่าสุดก็มีข่าวดีเรื่องโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน "ดิจิทัลวอลเล็ต" โดยได้มีการเปิดลงทะเบียนยืนยันตัวตนเข้าร่วมโครงการ "ดิจิทัลวอลเล็ต" ผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" และจุดที่รัฐบาลเปิดให้บริการ 5,207 แห่ง แล้วในตอนนี้
ทั้งนี้รัฐบาลหมายมั่นปั้นมือให้ โครงการ "ดิจิทัลวอลเล็ต" จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง เพิ่มกำลังซื้อ ให้พี่น้องประชาชนได้จับจ่ายใช้ส่อย วันนี้ #สปริงนิวส์ จะพามาดูมุมมองภาคเอกชน ต่อการมองเศรษฐกิจไทย และการแนะนำรัฐบาลว่าต้องกระตุ้นยังไงถึงจะให้มีประสิทธิภาพ โดย “วิชา พูลวรลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวในงาน “Money & Banking Award 2024” ซึ่งจัดโดยวารสารการเงินการธนาคาร ว่า เศรษฐกิจไทยตอนนี้ขึ้นอยู่กับอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วง บางอุตสาหกรรมก็ขยายตัวได้ดี เช่นรถยนต์ ที่มี EV เข้ามาแย่งตลาดก็ยังน่าเป็นห่วง
นอกจากนี้ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงเช่นกัน ส่วนตัวมองว่า ชนชั้นกลาง ชั้นล่าง กำลังซื้อน่าเป็นห่วงสุด ส่วนระดับบนไม่น่าเป็นห่วง เพราะตลาดบนเคยผ่านวิกฤตมาหลายรอบแล้ว และจะสามารถปรับตัวได้ เอาตัวรอดมาก ส่วนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจแนะนำว่ารัฐต้องเร่งทำ และต้องทำให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย หากมีกระสุนไม่ได้เยอะมากก็ต้องยิงให้ตรงจุดถึงจะมีประสิทธิภาพ
สำหรับอุตสาหกรรมที่จะเติบโตต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลัง ปี2567 คือ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ หรือธุรกิจหนังในประเทศไทย จากผู้ผลิตในประเทศ กำลังเข้าสู่ช่วงขาขึ้น สร้างการเติบโตอย่างมากในตลาดประเทศไทยและตลาดทั่วโลก จากการประเมินธุรกิจหนังในประเทศตลอดปี 2567 กลับมาคึกคัก อย่างมาก โดยเฉพาะหนังไทย ที่อยู่ในช่วงขาขึ้น สะท้อนจากหนังไทย กลับมาเติบโตสูงสุดในรอบ 30 ปี พร้อมได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในประเทศและต่างประเทศในหลายเรื่อง
สำหรับภาพรวมในปี 2567 ทำให้ภาพรวมธุรกิจหนังในประเทศ มีสัดส่วนรายได้ มาจาก ผู้ผลิตหนังจากไทยประมาณ 60 % แล้ว และอีก 40% มาจากหนังฮอลลีวู้ด แตกต่างจากที่ช่วงอดีตผ่านมา หนังไทย สามารถสร้างรายได้ในสัดส่วนเพียง 15% ส่วนฮอลลีวู้ด ครองสัดส่วนรายได้มากถึง 85% มายาวนาน
สำหรับหนังไทยที่สามารถสร้างรายได้สูงในช่วงที่ผ่านมา มีทั้ง "สัปเหร่อ" สามารถรายได้รวมสูงกว่า 700 ล้านบาท รวมถึง ธี่หยด รายได้รวมประมาณ 500 ล้านบาท มาจากในประเทศ 400 ล้านบาท และทำรายได้จากต่างประเทศอีกกว่า 100 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยที่ทำให้หนังไทยเติบโต มาจาก ผู้ผลิตไทยที่มีศักยภาพสร้างสรรค์คอนเทนต์ต่างๆ ที่ดีมาก ยกตัวอย่าง สัปเหล่อ ที่มีการลงทุนในจำนวนไม่มาก แต่สามารถสร้างผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้ชม ทำให้รายได้และผลกำไรอยู่ในระดับสูง อีกทั้งตลาดอาเซียนทั้ง มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย มีการนำหนังไทยไปฉายจำนวนมาก
“หนังไทยมีการเติบโตสูงในช่วงโควิดที่ผ่านมา เนื่องจากไม่มีหนังจากฮอลลีวู้ดเข้ามา ทำให้ได้รับความสนใจจากคนในประเทศ โดยปีที่แล้วทุกค่ายสร้างผลกำไรทั้งหมด ทำให้ปีนี้คอนเทนต์มีเยอะ ต่อเนื่องจนถึงปีหน้า 2568 ที่จะมีจำนวนมากขึ้น”
อย่างไรก็ตามเมื่อประเมินภาพรวมอุตสาหกรรมหนังในประเทศไทย ครึ่งปีหลังมีโอกาสที่สดใสต่อเนื่อง และมีโอกาสขยายตัวมากกว่าครึ่งปีแรก จากผู้ผลิตใหญ่หลายราย มีแผนผลิตหนังออกมาสู่ตลาด โดยบริษัทที่มีความร่วมมือกับ ช่อง 3 ผลิตหนัง ทั้งเรื่อง มานะแมน และ ธี่หยด 2 เป็นต้น
นอกจากนี้ผู้ผลิตไทยหลายรายต่างมีแผนผลิตหนังออกมาลงจอ ทั้งจีดีเอช มีแผนผลิตหนังใหม่ เข้ามาอีกประมาณ 5 เรื่อง ส่วนค่ายอื่นๆ มีแผนผลิตประมาณ 3 เรื่อง เป็นต้น ทำให้ประเมินว่าในปีต่อไป 2568 จะมีหนังไทยเข้ามาสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน
สำหรับความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจไทยโดยรวมนั้น ไม่มีผลกระทบต่อการรับชมหนังในประเทศไทย ซึ่งการรับชมหนังมีค่าตั๋วที่ไม่แพง เริ่มต้นที่ประมาณ 100 กว่าบาท และความเป็นบันเทิงที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้สะดวก จึงได้รับความสนใจที่ดีจากกลุ่มคนรุ่นใหม่
“อุตสาหกรรมหนังไม่ค่อยเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ หากผู้ผลิตสร้างคอนเทนต์ที่ดี จะเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดคนจำนวนมากอยางไปดูอย่างแน่นอน"
เมเจอร์ฯ ลุยเพิ่ม 40 จอใหม่ ต่างจังหวัดโตแรง
อย่างไรก็ตามแผนของบริษัทในปี 2567 นอกจาการผลิตหนังแล้ว ยังเดินหน้าขยายจอโรงหนังใหม่ในปีนี้รวมประมาณ 40 จอ สอดรับกับตลาดในประเทศ โดยเน้นพื้นที่ในต่างจังหวัดที่มีการขยายตัวดี ส่วนต่างประเทศอยู่ระหว่างพิจารณาขยายเพิ่มเติม โดยในตลาดกัมพูชาได้เข้าไปขยายโรงหนังเมเจอร์ ฯ จำนวนมากแล้ว ทั้งนี้ภาพรวมของบริษัทในปี 2567 มีธุรกิจที่เติบโตดี โดยมีรายได้จากทั้ง หนัง การขายตั๋ว และรายได้จากการขายโฆษณา ที่มีทิศทางบวกต่อเนื่อง สวนทางกับธุรกิจอื่นๆ ในประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากมองภาพรวมเศรษฐกิจไทย มองว่า กลุ่มบนยังไปได้อยู่ และที่ผ่านมา ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะในกลุ่มบน ได้ผ่านหลายช่วงวิกฤต จึงสามารถปรับตัวได้ตลอดและมีหนี้ในระดับที่ไม่สูงแต่กลุ่มที่ค่อนข้างน่าห่วงคือ กลุ่มกลางและล่าง ดังนั้น แนวทางการออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ควรเน้นเจาะไปที่กลุ่มกลางและล่างจะดีที่สุด เพราะภาครัฐมีงบประมาณที่จำกัด เปรียบเสมือนการใช้นโยบายกระตุ้นตรงกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เศรษฐกิจไทยจะเป็นยังไงต่อไปเมื่อ ‘Temu’ แอปช้อปปิ้งสัญชาติจีนตีตลาดไทย?
นำร่องโมเดล Green Supply Chain ดันธุรกิจอย่างยั่งยืน รับเศรษฐกิจสีเขียว
เศรษฐกิจไทย อาการโคม่า หวังยาแรง "มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ" ชุดใหญ่ไฟกระพริบ